คชสีห์๙บารมี๙บารมี๙แผ่นดินหลวงปู่หมุนเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 30 สิงหาคม 2010.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    พระผงพระแก้วมรกรต วัดพระแก้ว เชียงราย ปี ๓๔ กล่องเดิมๆครับ

    พิธีใหญ่ครับ


    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2014
  2. pho2601

    pho2601 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    879
    ค่าพลัง:
    +1,061
    โอนเงินแล้วครับ รายละเอียดใน PM ครับ
     
  3. Klay9

    Klay9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2007
    โพสต์:
    582
    ค่าพลัง:
    +622
    แจ้งโอนเงินพระหลวงพ่อทรงแล้วนะครับ
    รายละเอียดในinbox ครับ
    ขอบคุณครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    วันนี่้จัดส่ง

    EN 6531 8358 0 TH นครนายก

    ขอบคุณครับ
     
  5. denchai_l

    denchai_l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,093
    ค่าพลัง:
    +1,548
    ลพ.สายทอง ท่านเป็นพระแท้ พระของประชาชน น่ะครับ

    ท่านสร้างโรงพยาบาลให้เป็นสมบัติกับแผ่นดินไทย จิตท่านมีความเมตตาสงสารต่อสัตว์โลกอย่างแท้จริง เคยไปทำบุญกับท่านหลายครั้ง

    วันนั้น... มีใครก็ไม่รู้ถามว่าทำไมต้องสร้างโรงพยาบาลให้มันใหญ่โต เอาซัก 4-5 ชั้นก็พอ ท่านบอกว่า "เอาไว้รักษาคนป่วย ต่อไปเอ็งก็จะป่วย พ่อแม่ลูกเมียเอ็งก็จะป่วย พี่น้องเอ็งก็จะป่วย ครอบครัวเดียวป่วย 10 คน ถ้าหลายสิบหลายร้อยครอบครัว เอ็งลองนับดูว่าจะมีคนป่วยกี่คน" คนถามใบ้แดก...
     
  6. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,309
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,135
    เกศาของท่านที่ผมบูชาอยู่ที่บ้านแปรสภาพเป็นพระธาตุ แล้วครับ
     
  7. denchai_l

    denchai_l เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,093
    ค่าพลัง:
    +1,548
    สาธุ...

    ผมคนบ้านใกล้วัด ไปไม่เคยได้อะไรจากท่านเลย พระเครื่องซักองค์ก็ไม่ได้ เพราะผมไม่ขอ (ฮา...)

    คนแก่แถวบ้านชอบจัดคณะไปหาท่านมาก โดยมีแม่ยายผมเป็นโต้โผใหญ่ เรียกว่าคณะบ้าหวย ไปหาท่านมีเรื่องเดียวคือ... ขอหวย ดูเลขในบาตรน้ำมนต์ หรือไม่ก็ตีคำพูดเป็นตัวเลข มีเรื่องเดียวจริง ๆ ส่วนทำบุญนั้นมันเป็นผลพลอยได้ เพราะคนที่ไปส่วนใหญ่ไม่ได้ตั้งใจไปทำบุญ ไปเอาเลขล้วน ๆ ถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง ก็ว่ากันตามวาสนา แต่ชาวบ้านเขาก็ถูกหวยกันเรื่อย... มันก็แปลกดี
     
  8. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,309
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,135
    เห็นด้วยครับ
    ผมเคยทำบุญกับพระกับคุณแม่ชีที่ท่านปฏิบัติดี ถ้าทำบุญด้วยจิตเป็นกลางๆแล้ว ถ้าเกิดดำริเกี่ยวกับตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับการทำบุญนั้นในครั้งแรก ส่วนมากมักได้โชคลาภครับ จะได้เล็กได้น้อยก็แล้วแต่ตามวาสนา

    แต่ถ้าทำบุญแล้วตั้งจิตไม่เป็นกลางแล้วตั้งใจแบบอยากรวยอยากได้ลาภลอยแล้ว 100 ทั้ง 100 อดครับ มันก็น่าแปลกดีเนอะ
     
  9. poon-pan

    poon-pan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    2,309
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +7,135
    เกศาของท่านที่ผมได้มาก็ขอแบ่งจากพี่คนนึงแกมีอายุค่อนข้างอาวุโสมาก แกไปขอจากพระรูปนึงที่วัดป่าห้วยกุ่ม ตอนแรกก็ถามพระรูปนั้นว่ามีเกศาของหลวงพ่อมั๊ย พระท่านก็ตอบว่ามี พี่เขาก็เลยขอเลย ตอนที่ท่านเอามาให้เกศาท่านรวมตัวเป็นก้อนกลมใหญ่ พอพี่ได้มาเลยแบ่งกันสี่คน ตอนที่แยกเกศาแบ่งกันผมยังนึกเสียดายเลยว่า เกศากำลังรวมกันอยู่

    แต่พอนำมาบูชาก็เริ่มมีบางเส้นหดสั้นลง บางเส้นกลายเป็นเม็ดพระธาตุเล็ก
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    พระผงรูปเหมือน หลวงพ่อผาง วัดอุุดมคงคาคีรีเขต ขอนแก่น ปี ๒๕๑๗

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    ประวัติ หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน
    [​IMG]"หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ" หรือพระครูเขมคุณโสภณ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนเป็นอย่างมาก
    อัตโนประวัติหลวงปู่จันทร์แรม มีนามเดิมว่า จันทร์ ร้อยตะคุ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2465 ที่บ้านปะหลาน ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของนายอ่อนสีและนางแก้ว ร้อยตะคุ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
    พออายุได้ 17 ปี บิดามารดาได้ให้บุตรชายบวชเรียนเป็นสามเณร ณ วัดสระทองนพคุณ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมีพระครูจันทรศรีธีรคุณ เจ้าคณะอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นพระอุปัชฌาย์ ในช่วงเป็นสามเณร ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท และเอก ตามลำดับ ครั้นพออายุครบ 20 ปี ท่านได้ลาสิกขาเดินทางกลับบ้าน ช่วยงานงานรับจ้างปลูกพืชผักสวนครัว นำไปขายได้เงินเลี้ยงครอบครัว
    ต่อมาท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการครองชีวิตฆราวาสหลายครั้งหลายครา อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสลดสังเวชใจ จนกระทั่งถึงกาลเวลาแห่งบารมีธรรม ท่านจึงตัดสินใจเป็นแน่วแน่ว่าจะบวช
    เมื่อตัดสินใจบวช โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นนาคที่วัดกระดึงทอง ซึ่งขณะนั้นมีพระอาจารย์แก้วเป็นผู้ปกครอง ในสมัยนั้น การบวชเป็นพระสายธรรมยุตเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร จะต้องเดินทางไปเป็นแรมคืน เพราะในแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ที่เป็นวัดธรรมยุตมีพัทธสีมา สามารถให้การอุปสมบทได้ มีเพียงวัดเดียวเท่านั้นคือ วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
    ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม เมื่อปีพ.ศ.2488 โดยมีพระครูรัตนากรวิสุทธิ์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคุณสารสัมปัน (หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน) วัดวชิราลงกรณวราราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า เขมสิริ
    ถึงแม้หลวงปู่จันทร์แรมจะไม่ได้อยู่อุปัฏฐาก พระอุปัชฌาย์ในฐานะที่เป็นสัทธิวิการิก แต่ท่านก็ยึดถือปฏิปทาของพระอุปัชฌาย์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ท่านเป็นพระที่พูดน้อย แต่เคร่งครัดในการปฏิบัติ ยึดมั่นในพระธรรมวินัยเป็นหลักตามแบบฉบับของหลวงปู่ดูลย์ สิ่งเหล่านี้ หลวงปู่จันทร์แรมได้ยึดถือเป็นแบบปฏิบัติ ดังปรากฏเป็นคติสอนศิษยานุศิษย์เรื่อยมาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    ครั้นบวชได้ 4 พรรษา วันหนึ่ง หลวงปู่จันทร์แรม ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทกับหลวงปู่จันทร์แรม ว่า "การภาวนาอย่านอน 3 ทุ่ม 4 ทุ่มจึงนอน นอนตื่นเดียวไม่ให้นอนซ้ำ เมื่อตื่นขึ้นให้ภาวนาต่อ ก่อนภาวนาต้องมีสติ เอาใจใส่ต่องานที่เราทำ อย่าทำแบบลวกๆ กลางวันอย่านอน ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิ ให้ไปทำหลังวัดที่เป็นป่ากระบาก
    นอกจากนั้นให้ไปที่ถ้ำพระบ้านนาใน เป็นถ้ำที่มีเสือเดินผ่าน ด้วยความกลัวจะทำให้จิตเป็นสมาธิเร็ว อย่าขี้เกียจ" โอวาทธรรมที่หลวงปู่จันทร์แรมได้รับจากท่านพระอาจารย์มั่นในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลวงปู่จันทร์แรมมีโอกาสได้รับธรรมะโดยตรงจากพระอาจารย์มั่น เป็นที่ปลื้มปีติและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ในเมตตาธรรมของครูบาอาจารย์
    ทั้งนี้ หลวงปู่จันทร์แรม เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างดี ยิ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของศิษย์ยานุศิษย์มากมาย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พ่อค้า และประชาชนทั่วไปทั่วทุกภาคของประเทศ และต่างประเทศ
    ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่จันทร์แรม เริ่มอาพาธด้วยโรคหัวใจ ต้องเข้ารับการรักษาและดูแลจากคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด กระทั่งเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน 2552 หลวงปู่จันทร์แรม กำลังฉันภัตตาหารเพล เกิดหมดสติล้มฟุบลงกับพื้น คณะศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างช่วยกันรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์
    ครั้นมาถึงโรงพยาบาลเอกชนฯ คณะแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจ กระทั่งหลวงปู่จันทร์แรมหัวใจทำงานอีกครั้ง แต่หลวงปู่จันทร์แรมยังไม่รู้สึกตัว จึงได้นำตัวหลวงปู่จันทร์แรม ส่งไปรักษาต่อที่ห้องไอ.ซี.ยู. โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์
    จากนั้น หลวงปู่จันทร์แรม มีสภาพเหมือนคนนอนหลับ ไม่รู้สึกตัว โดยคณะแพทย์ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจและให้น้ำเกลือ กระทั่งเวลา 01.20 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 หลวงปู่จันทร์แรม ได้มรณภาพลงอย่างสงบ สร้างความโศกสลดให้แก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่จันทร์แรม

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ


    [​IMG] [​IMG]

    [<table class="text" width="100%" bgcolor="#f0f0f0" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td height="13" width="1" bgcolor="#999999">[​IMG]</td> <td width="6">[​IMG]</td> <td valign="center" align="center">[​IMG]</td> <td width="6">[​IMG]</td> <td width="1" bgcolor="#999999">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2" rowspan="2" width="7">[​IMG]</td> <td height="6">[​IMG]</td> <td colspan="2" rowspan="2" width="7">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td bgcolor="#999999">[​IMG]</td> </tr> </tbody> </table>
    <table align="center" bgcolor="F6F6F6" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> <td class="Topic11pt" width="350" align="center" background="../pics/bg30.gif"> พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป </td> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก เชียงใหม่ ชื่อเดิม นายเปลี่ยน วงษาจันทร์ เกิดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2476 (ปีระกา) บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาชื่อ นายกิ่ง วงษาจันทร์ มารดาชื่อ นางอรดี สกุลเดิม จุลราชภักดี มีพี่น้องเป็นชาย 5 คน หญิง 1 คน พระอาจารย์เปลี่ยน เป็นบุตรคนที่ 3 โดยตา คือ ขุนจุนราชภักดี และยายได้ขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
    เมื่ออายุ 11 ปี มารดาจึงให้มาช่วยทำการค้าช่วยเหลือครอบครัว.....เมื่ออายุ 18 ปี เริ่มสนใจวิชาแพทย์ และได้ฝึกฉีดยารักษาคนไข้กับหมอประจำอำเภอ ซึ่งเป็นญาติกัน ซึ่งเคยคิดจะไปเรียนต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในกรุงเทพฯ แต่มารดาขอให้อยู่ช่วยคุมการค้าต่อไป....
    พระอาจารย์เปลี่ยน คิดอยากจะบวชมาตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่มาบวชจริง เมื่ออายุ 25 ปี ในวันที่ 31 มีนาคม 2502 ณ วัดธาตุมีชัย บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูอดุลย์สังขกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพิธธรรมสุนทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์และพระอาจารย์สุภาพ ธมฺปญฺโญ เป็นผู้ฝึกหัดขานนาคให้........
    ต่อมาสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังออกพรรษาในปีแรก ได้เริ่มออกธุดงค์ ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม และได้พบกับพระอาจารย์ที่ได้ยินกิติศัพท์ ทั้งภาคอีสาน ภาคใต้ และ ภาคเหนือ แต่ที่พระอาจารย์เปลี่ยนอยู่ฝึกปฏิบัติธรรมด้วยนานๆและรับใช้ใกล้ชิดสนิทสนม คือ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ หลวงปู่เทศก์ เทสฺรงฺสี หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ......
    ส่วนรูปอื่นๆ ก็เช่น พระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ครูบาอินทจักรรักษา อินฺทจกฺโก หลวงปู่สาม อกิญฺจโน พระอาจารย์วัน อุตฺตโม หลวงปู่แว่น ธนปาโล หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ฯลฯ ซึ่งก็ต่างมีเมตตาเทศน์อบรม ทำให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นเป็นลำดับ......
    โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในกรุงเทพฯ แต่มารดาขอให้อยู่ช่วยคุมการค้าต่อไป....

    พระอาจารย์เปลี่ยน คิดอยากจะบวชมาตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่มาบวชจริง เมื่ออายุ 25 ปี ในวันที่ 31 มีนาคม 2502 ณ วัดธาตุมีชัย บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูอดุลย์สังขกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพิธธรรมสุนทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์และพระอาจารย์สุภาพ ธมฺปญฺโญ เป็นผู้ฝึกหัดขานนาคให้........

    ต่อมาสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังออกพรรษาในปีแรก ได้เริ่มออกธุดงค์ ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม และได้พบกับพระอาจารย์ที่ได้ยินกิติศัพท์ ทั้งภาคอีสาน ภาคใต้ และ ภาคเหนือ แต่ที่พระอาจารย์เปลี่ยนอยู่ฝึกปฏิบัติธรรมด้วยนานๆและรับใช้ใกล้ชิดสนิทสนม คือ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ หลวงปู่เทศก์ เทสฺรงฺสี หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ......

    ส่วนรูปอื่นๆ ก็เช่น พระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ครูบาอินทจักรรักษา อินฺทจกฺโก หลวงปู่สาม อกิญฺจโน พระอาจารย์วัน อุตฺตโม หลวงปู่แว่น ธนปาโล หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ฯลฯ ซึ่งก็ต่างมีเมตตาเทศน์อบรม ทำให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นเป็นลำดับ......

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนเกษาหลวงปู่เปลี่ยน

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG]
    ปฏิปทา การดำเนินของท่านพระอาจารย์วิชัย เขมิโย ครั้งนี้เป็นบันทึกประวัติชีวิตของท่านพระอาจารย์วิชัยโดยตรง ชีวิตการธุดงคืกรรมฐานของท่าน ที่ละเอียดมีแง่มุมอันมีเนื้อหาสาระหลากหลาย เป็นประสบการณ์ในชีวิตของพระป่าที่มีอุดมคติอุคมการณ์ความมุ่งหมาย เป็นสัจจะแน่วแน่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนาให้สาวกและพุทธศาสนิกชน ปฏิบัตินั้นคือ มรรค ผล นิพพาน ปฏิปทา การดำเนินของท่านพระอาจารย์ วิชัยนี้ เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์มั่งคงในพระศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างการและชีวิต เปี่ยมไปด้วยพละอินทรีย์บารมีอันมุ่งมั่น ควรเป็นที่เคารพนับถือสักการะรูปชา
    ชีวประวัติปฏิปทานี้เขียนโดยลายมือของท่านพระอาจารย์วิชัยเอง
    เริ่มต้นด้วยชาติกำเนิดปฐมวัยของท่านดังต่อไปนี้
    ชื่อเดิม "วิชัย คล่องแคล่ว" เกิดวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ ณ บ้านหินลาด ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี้ เป็น บุตรคนที่ ๓ ของนายบัว นางกอง คล่องแคล่ว พ่อนั้นตายเสียตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑ ขวบ กว่าๆ อาชีพเดิมของบิดามารดา คือการทำนาตามบรรพบุรุษหลายชั่วคน เมื่อ ตอนเล็กๆ ข้าพเจ้าชอบอยู่กับยาย คือแม่เอาข้าพเจ้าไปฝากยายไว้ซึ่งอยู่คนละบ้าน เพราะแม่ข้าพเจ้าท่านได้ไปแต่งงานใหม่ ทำให้ข้าพเจ้ากับน้องได้ไปอยู่กับยาย
    นี้คือปฐมบทของชีวิตเด็กน้อย ที่ได้เริ่มรู้จักกับความว้าเหว่อ้างว้างของผู้ที่กำพร้าพ่อและพลัดพรากจากแม่
    เมื่อข้าพเจ้า อายุได้ ๗ ขวบ ยายก็ให้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านแก่งเจริญ ข้าพเจ้าทำงานหนักที่พอจะทำได้มาตั้งแต่เด็กๆ จะเรียกว่าเป็นชีวิตทั้งกำพร้าพ่อแม่ก็ว่าได้เพราะไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ ข้าพเจ้า ได้ช่วยยายและพวกน้าผู้หญิงน้าผู้ชายทำงาน กล่าวคือเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องไปตักน้ำใส่ตุ่มน้ำกินน้ำใช้ เพราะหมู่บ้านที่อยู่นั้น บ่อน้ำอยู่ห่างไกลออกไปประมาณ ๑ กิโลเมตร และเมื่อตักน้ำกินมาไว้เต็มตุ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องลงไปตักน้ำในแม่น้ำมูลมาใช้และรดห้างพลูกินหมากให้ยาย นี้เป็นงานประจำตอนเด็ก นอกจากนั้น ยังต้องช่วยน้าผู้หญิงตำข้าวด้วย เพราะสมัยนั้นหมู่บ้านแถบนั้นยังไม่มีโรงสีข้าว
    ชีวิตข้าพเจ้าเวลากินก็จะแสนจะลำบาก แม้แต่เวลานอนก็ลำบาก ถึงฤดูทำนานต้องไปนอนที่กระท่อมนากับน้าผู้ชาย ตื่นเช้าต้องมานึ่งข้าวเหนียวหุงข้าวให้น้า เพราะน้าตื่นมาก็รีบไปไถ่นา เมื่อ หุงข้าวเสร็จก็ต้องหามฟืนกลับบ้านซึ่งห่างจากทุ่งนาประมาณ ๔ กม. พอถึงบ้านก็ต้องรีบกินข้าวไปโรงเรียน ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงโรงเรียน ๓ กม. สมัย นั้นยังไม่พัฒนา ทางการให้ ๓ - ๔ หมู่บ้านไปเรียนหนังสือรวมกันที่โรงเรียนแห่งเดียว ทำให้เด็กนักเรียนแต่ละหมู่บ้านต้องเดินไปเรียนกันทางไกลหน่อย
    พอเลิกเรียนในตอนบ่าย ก็เดินกลับบ้านรีบกินข้าว ซึ่งส่วนมากเป็นข้าวเหนียวในกล่องข้าวหรือกระติบเย็นชืดกับปลาร้าและพริกแทบ ทุกวันอร่อยมากเพราะหิว คนเราเมื่อหิวกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น จากนั้นก็เอากระบุงใส่ปุ๋ยคอกหาบไปทุ่งนานวันละหาบเฉพาะตอนเย็นการไปนาและกลับมาบ้านนั้น บ่าของข้าพเจ้าไม่ว่างจากไม้คานเลย เพื่อน ฝูงที่เขามีนาอยู่ใกล้กัน ๔ - ๕ คน เขาเดินไปตัวเปล่าเดินมาตัวเปล่าหยอกล้อกันบ้าง วิ่งไล่จับกันเล่นสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าทำไม่ได้เพราะบ่าต้องหาบคอนใส่ของหนักอึ้ง หมดสนุกสนานมีแต่ความเศร้าสร้อย
    น้าผู้ชายท่านรักข้าพเจ้ามาก รักเสมือนลูกของท่านจริงๆ ส่วนน้าผู้หญิงนั้นแกไม่รักข้าพเจ้าเลย ชอบข่มเหงรังแกตลอดเวลา บางครั้งทำอะไรไม่ทันใจแกก็จะจิกหัวหรือเฆี่ยนเอา แต่ถ้าน้าผู้ชายเห็นแล้วจะทำไม่ได้ ชีวิต ของข้าพเจ้าถ้าหากไม่มีน้าผู้ชายช่วยปกป้องแล้วลำบากแสนเข็ญมาก แม้แต่เวลาเข้าเรียนหนังสือเพื่อนเขาได้กระดานใหม่ๆ คือกระดานชนวน ได้กางเกงใหม่ เสื้อใหม่ ดินสอใหม่ ส่วนข้าพเจ้าไม่เคยได้เขียนกระดานใหม่ ได้เคยได้ดินสอใหม่แท่งยาวๆ เหมือนเขาเลย ยาย แกเป็นคนตระหนี่ประหยัด จึงให้ใช้กระดานแตกๆ แต่พอเขียนได้ ดินสอก็สั้นๆ กุดๆ แม้แต่กางเกงของข้าพเจ้าก็จะขาดกระรุ่งกระหริ่ง เพื่อนชอบล้อเล่นอยู่เลยว่า “ลุงก็มาโรงเรียนหรอ”
    หนังสือเรียนก็เก็บเอาของเก่าเขามาให้อ่าน ขาดไปก็มี แต่ก็ยังเป็นบุญบารมีของข้าพเจ้าที่เรียนหนังสือได้เก่งพอสมควร ได้เป็นหัวหน้าชั้นบ่อยที่สุด พูดถึงของใช้แล้ว น้อยนักน้อยหนาที่จะได้ของใหม่ๆ ดี ๆ ถ้าเป็นผ้านุ่งห่มก็รับเอาของเก่าพี่ชายบ้าง ยายเอาของคนอื่นมาให้บ้าง พอถึงหน้าหนาวผ้าห่มก็แสนจะขาดปะแล้วปะอีก กางเกงและเสื้อก็ปะแล้วปะอีก ชีวิตของลูกกำพร้าที่อาศัยยายและน้านั้นแสนจะลำบากเหลือเกิน
    ชีวิตเอ๋ยช่างอาภัพอับโชคกระไรหนออย่างนี้ มองดูชีวิตเพื่อนรุ่นเดียวกันเขาช่างมีความสุขมาก
    ครั้งพออายุได้ ๘ ขวบ เรียนอยู่ประถม ๒ พี่ชายลูกคนละพ่อเขาทำให้ใจไม่อยากจะอยู่บ้านเลย เพราะอยู่บ้านกับยายกับน้าผู้หญิง มีแต่ความทุกข์ใจแสนจะยากลำบากกับการงานหนักเกินวัยเด็ก เวลา เช้าฤดูแล้ง ยายให้ไปส่งข้าวเณรพี่ชายที่วัดทุกเช้า ข้าพเจ้าบอกเณรพี่ชายให้หาหนังสือพระเณรที่เกี่ยวกับการบอกวิธีบวชเรียนและ สวดมนต์มาให้ พี่เณรก็เอาหนังสือเจ็ดตำนานมาให้อ่านและได้บอกคำขอบวชให้ด้วย ข้าพเจ้า เอามาอ่านมาท่องทุกวัน ท่องคล่องปากเพราะเคยได้ยินพระสงฆ์ท่านสวดมนต์อยู่เสมอ วันไหนว่างก็แอบไปวัด เพราะวัดคือสถานที่เล่มเย็นใจหรือสนุกสนานของเด็กๆ บ้านนอก เมื่อไปที่วัดก็ท่องคำขอบวชเณรให้ขึ้นใจยิ่งขึ้นและได้ขอร้องให้พี่เณรมาช่วยพูดกับยาย ขอร้องให้ยายอนุญาตให้ข้าพเจ้าบวชเณรบ้าง พี่ เณรก็บอกว่าเรียนหนังสือยังไม่ทันจบ ป.๔ บวชเณรไม่ได้หรอก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟังได้รบเร้าอยู่เรื่อยๆ จนพี่เณรทนไม่ไหวต้องมาบอกยาย เลยโดนยายตวาดเอา
    แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่ลดละความพยายามจะบวชให้ได้ปีต่อมาข้าพเจ้าพยายาม หาวิธีบวชให้ได้ วันไหนว่างแอบไปฟังท่านพระอาจารย์ที่วัดเทศน์และสนทนากับท่านบ้าง ท่านก็ชวนบวช ทำให้ศรัทธาของข้าพเจ้ายิ่งมีมากขึ้น บางวันไถนานปลูกข้างอยู่แต่ร่างกายส่วนจิตใจมาอยู่กับวัดตลอดเวลา วัน หนึ่งปลูกข้าวอยู่กับแม่เป็นวัน ๗ ค่ำ ซึ่งทางภาคอีสานพอถึงวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ พระเณรที่วัดต้องตีกลองให้สัญญาณบอกวันโกนวันพระ เขาเรียกว่าตีกลองแลง (แลง แปลว่า ตอนเย็น) แม้แต่ตี ๔ ตอนกลางคืนก็ตีกลองอีก ตีสลับกับฆ้องเรียกว่าตีกลองดึก เสียงวังเวงฝูงหมาจะเห่าหอนกันเกรียวทีเดียว
    วันนั้นพอได้ยินพระท่านตีกลองแลง จิตใจของข้าพเจ้าหวิวๆ อยากไรบอกไม่ถูก บอกแม่ว่าเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วผลต้องบวชให้ได้ แม่ก็บอกว่า แม่จะบวชให้ลูกทุกๆ คนนั้นแหละ ข้าพเจ้าก็ดีใจแสนจะดีใจบอกไม่ถูก ถึงวันพระข้าพเจ้าชอบทำบุญตักบาตร แม้แต่ไปเที่ยววัดไหนยามมีงานวัด ก็ต้องทำบุญก่อนเที่ยว เรื่องทำบุญนี้ทำเองด้วยใจรักไม่มีใครบอก เป็นฉันทะความพอใจ ความเลื่อมใสจากส่วนลึกของหัวใจ แม่ เอาเงินให้ไปเที่ยวดูโน่นดูนี้ แต่ข้าพเจ้ากลับเอาเงินไปทำบุญหมดก็มี จิตใจมีแต่เมตตาความรักความเอ็นดูสงสารต่อคนอื่นเสมอ แม้แต่สัตว์ เป็นต้นว่าได้ก็ไม่เคยฆ่า สุนัข แมว มั่ว ควาย ไม่เคยฆ่า มีเมตราสงสารสัตว์เหล่านี้เสมอ เห็น ใครเขาเชือดคอเป็ดคอไก่แล้วต้องรีบเดินหนีด้วยความสงสาร เห็นคนขับเกวียนบรรทุกฟืนเพียบแป้ล เอาดุ้นฟืนขนาดเท่าแขนตีวัวเทียมเกวียม บังคับขู่เข็นให้วัวลากเกวียนไปแต่วัวหมดแรงลากไม่ไหวถูกตีจนล้มฟุบขี้แตก ออกมา ข้าพเจ้าเห็นแล้วถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสาร โอ้ หนอ! ทำไมคนเราใจคอโหดร้ายใช้สัตว์ทำงานทารุณถึงปานนั้นช่างไม่คิดเวทนาสงสารวัว ลากเกวียนเอาเสียเลย หรือว่าชาติปางก่อนวัวตัวนั้นเคยเป็นคนทำบาปชั่วมาก ชาตินี้เลยมาเกิดเป็นวัวให้คนเขาทุบตีใช้งานหนักเช่นนี้เป็นการใช้กรรมเวร เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันชอบล้อว่า พ่อใจบุญๆ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจเสมอ
    เริ่มบวชเป็นสามเณร อายุ ๑๗ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ณ. วัดเวฬุวัน บ้านหนองไผ่ ตำบลดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชในช่วง ๑๐.๐๐ น. ตำกลางคืนก็เริ่มปฏิบัติสมาธิเป็นแล้ว เพราะเคยฝึกมาก่อนบวช การนำจิตเข้าสู่สมาธิจึงทำได้พอสมควร ปฏิบัติมาตลอดทุกๆ วันในพรรษาแรก จิตก็เข้าสมาธิได้สม่ำเสมอแล้วพรรษาที่สอง สอบนักธรรมตรีได้และการปฏิบัติก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ในกลางพรรษาที่สอง พระพุทธองค์ทรงเสร็จมาประทับอยู่ที่หิ้งพระแย้มพระโอษฐ์อยู่นานพอสมควรจึง เสด็จไป


    หมวด: ประวัติพระอาจารย์วิชัย เขมิโย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม 2537

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  12. j999

    j999 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    4,971
    ค่าพลัง:
    +5,401
    ได้โอนเงิน ๔๕๐ บาท เมี่อ ๒๖ ธค. เวลาประมาณ๐๘.๑๑ น.เป็นค่าบูชาพระ ๑.ผ้ายันต์ลป.หลอด ที่อยู่ ดูในpmครับ
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    วันนี้จัดส่ง

    EN 6531 8656 9 TH ลาดกระบัง

    EN 6531 8657 2 TH สามเสนใน

    ขอบคุณครับ
     
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    ประวัติ หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน
    [​IMG]"หลวงปู่จันทร์แรม เขมสิริ" หรือพระครูเขมคุณโสภณ วัดเกาะแก้วธุดงคสถาน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต พระวิปัสสนาจารย์สายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากสาธุชนเป็นอย่างมาก
    อัตโนประวัติหลวงปู่จันทร์แรม มีนามเดิมว่า จันทร์ ร้อยตะคุ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 17 เมษายน 2465 ที่บ้านปะหลาน ต.ปะหลาน อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม เป็นบุตรของนายอ่อนสีและนางแก้ว ร้อยตะคุ ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
    พออายุได้ 17 ปี บิดามารดาได้ให้บุตรชายบวชเรียนเป็นสามเณร ณ วัดสระทองนพคุณ อ.พยัคฆภูมิพิสัย จ.มหาสารคาม โดยมีพระครูจันทรศรีธีรคุณ เจ้าคณะอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย เป็นพระอุปัชฌาย์ ในช่วงเป็นสามเณร ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท และเอก ตามลำดับ ครั้นพออายุครบ 20 ปี ท่านได้ลาสิกขาเดินทางกลับบ้าน ช่วยงานงานรับจ้างปลูกพืชผักสวนครัว นำไปขายได้เงินเลี้ยงครอบครัว
    ต่อมาท่านเกิดความเบื่อหน่ายในการครองชีวิตฆราวาสหลายครั้งหลายครา อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดความสลดสังเวชใจ จนกระทั่งถึงกาลเวลาแห่งบารมีธรรม ท่านจึงตัดสินใจเป็นแน่วแน่ว่าจะบวช
    เมื่อตัดสินใจบวช โยมบิดามารดาได้นำไปฝากเป็นนาคที่วัดกระดึงทอง ซึ่งขณะนั้นมีพระอาจารย์แก้วเป็นผู้ปกครอง ในสมัยนั้น การบวชเป็นพระสายธรรมยุตเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร จะต้องเดินทางไปเป็นแรมคืน เพราะในแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ที่เป็นวัดธรรมยุตมีพัทธสีมา สามารถให้การอุปสมบทได้ มีเพียงวัดเดียวเท่านั้นคือ วัดบูรพาราม อ.เมือง จ.สุรินทร์
    ท่านได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดบูรพาราม เมื่อปีพ.ศ.2488 โดยมีพระครูรัตนากรวิสุทธิ์ (หลวงปู่ดูลย์ อตุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระครูคุณสารสัมปัน (หลวงปู่โชติ คุณสัมปันโน) วัดวชิราลงกรณวราราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้รับนามฉายาว่า เขมสิริ
    ถึงแม้หลวงปู่จันทร์แรมจะไม่ได้อยู่อุปัฏฐาก พระอุปัชฌาย์ในฐานะที่เป็นสัทธิวิการิก แต่ท่านก็ยึดถือปฏิปทาของพระอุปัชฌาย์เป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ท่านเป็นพระที่พูดน้อย แต่เคร่งครัดในการปฏิบัติ ยึดมั่นในพระธรรมวินัยเป็นหลักตามแบบฉบับของหลวงปู่ดูลย์ สิ่งเหล่านี้ หลวงปู่จันทร์แรมได้ยึดถือเป็นแบบปฏิบัติ ดังปรากฏเป็นคติสอนศิษยานุศิษย์เรื่อยมาจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
    ครั้นบวชได้ 4 พรรษา วันหนึ่ง หลวงปู่จันทร์แรม ได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระอาจารย์มั่น โดยพระอาจารย์มั่นได้ให้โอวาทกับหลวงปู่จันทร์แรม ว่า "การภาวนาอย่านอน 3 ทุ่ม 4 ทุ่มจึงนอน นอนตื่นเดียวไม่ให้นอนซ้ำ เมื่อตื่นขึ้นให้ภาวนาต่อ ก่อนภาวนาต้องมีสติ เอาใจใส่ต่องานที่เราทำ อย่าทำแบบลวกๆ กลางวันอย่านอน ให้เดินจงกรมนั่งสมาธิ ให้ไปทำหลังวัดที่เป็นป่ากระบาก
    นอกจากนั้นให้ไปที่ถ้ำพระบ้านนาใน เป็นถ้ำที่มีเสือเดินผ่าน ด้วยความกลัวจะทำให้จิตเป็นสมาธิเร็ว อย่าขี้เกียจ" โอวาทธรรมที่หลวงปู่จันทร์แรมได้รับจากท่านพระอาจารย์มั่นในครั้งนั้น เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่หลวงปู่จันทร์แรมมีโอกาสได้รับธรรมะโดยตรงจากพระอาจารย์มั่น เป็นที่ปลื้มปีติและซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งจนถึงทุกวันนี้ในเมตตาธรรมของครูบาอาจารย์
    ทั้งนี้ หลวงปู่จันทร์แรม เป็นพระนักปฏิบัติที่มีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นอย่างดี ยิ่ง มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของศิษย์ยานุศิษย์มากมาย ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักธุรกิจ พ่อค้า และประชาชนทั่วไปทั่วทุกภาคของประเทศ และต่างประเทศ
    ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลวงปู่จันทร์แรม เริ่มอาพาธด้วยโรคหัวใจ ต้องเข้ารับการรักษาและดูแลจากคณะแพทย์อย่างใกล้ชิด กระทั่งเมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 พฤศจิกายน 2552 หลวงปู่จันทร์แรม กำลังฉันภัตตาหารเพล เกิดหมดสติล้มฟุบลงกับพื้น คณะศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างช่วยกันรีบนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนบุรีรัมย์
    ครั้นมาถึงโรงพยาบาลเอกชนฯ คณะแพทย์ช่วยกันปั๊มหัวใจ กระทั่งหลวงปู่จันทร์แรมหัวใจทำงานอีกครั้ง แต่หลวงปู่จันทร์แรมยังไม่รู้สึกตัว จึงได้นำตัวหลวงปู่จันทร์แรม ส่งไปรักษาต่อที่ห้องไอ.ซี.ยู. โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์
    จากนั้น หลวงปู่จันทร์แรม มีสภาพเหมือนคนนอนหลับ ไม่รู้สึกตัว โดยคณะแพทย์ได้ใส่เครื่องช่วยหายใจและให้น้ำเกลือ กระทั่งเวลา 01.20 น. วันที่ 8 ธันวาคม 2552 หลวงปู่จันทร์แรม ได้มรณภาพลงอย่างสงบ สร้างความโศกสลดให้แก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงปู่จันทร์แรม

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ


    [​IMG] [​IMG]

    [<table class="text" width="100%" bgcolor="#f0f0f0" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td height="13" width="1" bgcolor="#999999">[​IMG]</td> <td width="6">[​IMG]</td> <td valign="center" align="center">[​IMG]</td> <td width="6">[​IMG]</td> <td width="1" bgcolor="#999999">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td colspan="2" rowspan="2" width="7">[​IMG]</td> <td height="6">[​IMG]</td> <td colspan="2" rowspan="2" width="7">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td bgcolor="#999999">[​IMG]</td> </tr> </tbody> </table>
    <table align="center" bgcolor="F6F6F6" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>[​IMG]</td> <td class="Topic11pt" width="350" align="center" background="../pics/bg30.gif"> พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป </td> <td>[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    พระอาจารย์เปลี่ยน ปัญญาปทีโป วัดอรัญวิเวก เชียงใหม่ ชื่อเดิม นายเปลี่ยน วงษาจันทร์ เกิดวันที่ 16 พฤศจิกายน 2476 (ปีระกา) บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร บิดาชื่อ นายกิ่ง วงษาจันทร์ มารดาชื่อ นางอรดี สกุลเดิม จุลราชภักดี มีพี่น้องเป็นชาย 5 คน หญิง 1 คน พระอาจารย์เปลี่ยน เป็นบุตรคนที่ 3 โดยตา คือ ขุนจุนราชภักดี และยายได้ขอไปเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ จนเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
    เมื่ออายุ 11 ปี มารดาจึงให้มาช่วยทำการค้าช่วยเหลือครอบครัว.....เมื่ออายุ 18 ปี เริ่มสนใจวิชาแพทย์ และได้ฝึกฉีดยารักษาคนไข้กับหมอประจำอำเภอ ซึ่งเป็นญาติกัน ซึ่งเคยคิดจะไปเรียนต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในกรุงเทพฯ แต่มารดาขอให้อยู่ช่วยคุมการค้าต่อไป....
    พระอาจารย์เปลี่ยน คิดอยากจะบวชมาตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่มาบวชจริง เมื่ออายุ 25 ปี ในวันที่ 31 มีนาคม 2502 ณ วัดธาตุมีชัย บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูอดุลย์สังขกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพิธธรรมสุนทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์และพระอาจารย์สุภาพ ธมฺปญฺโญ เป็นผู้ฝึกหัดขานนาคให้........
    ต่อมาสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังออกพรรษาในปีแรก ได้เริ่มออกธุดงค์ ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม และได้พบกับพระอาจารย์ที่ได้ยินกิติศัพท์ ทั้งภาคอีสาน ภาคใต้ และ ภาคเหนือ แต่ที่พระอาจารย์เปลี่ยนอยู่ฝึกปฏิบัติธรรมด้วยนานๆและรับใช้ใกล้ชิดสนิทสนม คือ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ หลวงปู่เทศก์ เทสฺรงฺสี หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ......
    ส่วนรูปอื่นๆ ก็เช่น พระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ครูบาอินทจักรรักษา อินฺทจกฺโก หลวงปู่สาม อกิญฺจโน พระอาจารย์วัน อุตฺตโม หลวงปู่แว่น ธนปาโล หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ฯลฯ ซึ่งก็ต่างมีเมตตาเทศน์อบรม ทำให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นเป็นลำดับ......
    โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในกรุงเทพฯ แต่มารดาขอให้อยู่ช่วยคุมการค้าต่อไป....

    พระอาจารย์เปลี่ยน คิดอยากจะบวชมาตั้งแต่อายุ 12 ปี แต่มาบวชจริง เมื่ออายุ 25 ปี ในวันที่ 31 มีนาคม 2502 ณ วัดธาตุมีชัย บ้านโคกคอน ต.โคกสี อ.สว่างแดนดิน จ.สกลนคร โดยมีพระครูอดุลย์สังขกิจ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพิพิธธรรมสุนทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์และพระอาจารย์สุภาพ ธมฺปญฺโญ เป็นผู้ฝึกหัดขานนาคให้........

    ต่อมาสอบนักธรรมตรีได้ในพรรษาที่ 3 หลังออกพรรษาในปีแรก ได้เริ่มออกธุดงค์ ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อแสวงหาโมกขธรรม และได้พบกับพระอาจารย์ที่ได้ยินกิติศัพท์ ทั้งภาคอีสาน ภาคใต้ และ ภาคเหนือ แต่ที่พระอาจารย์เปลี่ยนอยู่ฝึกปฏิบัติธรรมด้วยนานๆและรับใช้ใกล้ชิดสนิทสนม คือ หลวงปู่พรหม จิรปุญฺโญ หลวงปู่เทศก์ เทสฺรงฺสี หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม และหลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ......

    ส่วนรูปอื่นๆ ก็เช่น พระอาจารย์จวน กุลเชษโฐ หลวงปู่ขาว อนาลโย หลวงปู่คำดี ปภาโส หลวงปู่ชอบ ฐานสโม ครูบาอินทจักรรักษา อินฺทจกฺโก หลวงปู่สาม อกิญฺจโน พระอาจารย์วัน อุตฺตโม หลวงปู่แว่น ธนปาโล หลวงปู่ผาง จิตฺตคุตฺโต ฯลฯ ซึ่งก็ต่างมีเมตตาเทศน์อบรม ทำให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมยิ่งขึ้นเป็นลำดับ......

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนเกษาหลวงปู่เปลี่ยน

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]


    [​IMG]
    ปฏิปทา การดำเนินของท่านพระอาจารย์วิชัย เขมิโย ครั้งนี้เป็นบันทึกประวัติชีวิตของท่านพระอาจารย์วิชัยโดยตรง ชีวิตการธุดงคืกรรมฐานของท่าน ที่ละเอียดมีแง่มุมอันมีเนื้อหาสาระหลากหลาย เป็นประสบการณ์ในชีวิตของพระป่าที่มีอุดมคติอุคมการณ์ความมุ่งหมาย เป็นสัจจะแน่วแน่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนาให้สาวกและพุทธศาสนิกชน ปฏิบัตินั้นคือ มรรค ผล นิพพาน ปฏิปทา การดำเนินของท่านพระอาจารย์ วิชัยนี้ เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์มั่งคงในพระศาสนาโดยแท้ มิได้อาลัยแก่ร่างการและชีวิต เปี่ยมไปด้วยพละอินทรีย์บารมีอันมุ่งมั่น ควรเป็นที่เคารพนับถือสักการะรูปชา
    ชีวประวัติปฏิปทานี้เขียนโดยลายมือของท่านพระอาจารย์วิชัยเอง
    เริ่มต้นด้วยชาติกำเนิดปฐมวัยของท่านดังต่อไปนี้
    ชื่อเดิม "วิชัย คล่องแคล่ว" เกิดวันจันทร์ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๗ ปีระกา ตรงกับวันที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๔ ณ บ้านหินลาด ตำบลกุดชมภู อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี้ เป็น บุตรคนที่ ๓ ของนายบัว นางกอง คล่องแคล่ว พ่อนั้นตายเสียตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุได้ ๑ ขวบ กว่าๆ อาชีพเดิมของบิดามารดา คือการทำนาตามบรรพบุรุษหลายชั่วคน เมื่อ ตอนเล็กๆ ข้าพเจ้าชอบอยู่กับยาย คือแม่เอาข้าพเจ้าไปฝากยายไว้ซึ่งอยู่คนละบ้าน เพราะแม่ข้าพเจ้าท่านได้ไปแต่งงานใหม่ ทำให้ข้าพเจ้ากับน้องได้ไปอยู่กับยาย
    นี้คือปฐมบทของชีวิตเด็กน้อย ที่ได้เริ่มรู้จักกับความว้าเหว่อ้างว้างของผู้ที่กำพร้าพ่อและพลัดพรากจากแม่
    เมื่อข้าพเจ้า อายุได้ ๗ ขวบ ยายก็ให้เข้าเรียนหนังสือที่โรงเรียนบ้านแก่งเจริญ ข้าพเจ้าทำงานหนักที่พอจะทำได้มาตั้งแต่เด็กๆ จะเรียกว่าเป็นชีวิตทั้งกำพร้าพ่อแม่ก็ว่าได้เพราะไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ ข้าพเจ้า ได้ช่วยยายและพวกน้าผู้หญิงน้าผู้ชายทำงาน กล่าวคือเมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องไปตักน้ำใส่ตุ่มน้ำกินน้ำใช้ เพราะหมู่บ้านที่อยู่นั้น บ่อน้ำอยู่ห่างไกลออกไปประมาณ ๑ กิโลเมตร และเมื่อตักน้ำกินมาไว้เต็มตุ่มแล้ว ข้าพเจ้าก็ต้องลงไปตักน้ำในแม่น้ำมูลมาใช้และรดห้างพลูกินหมากให้ยาย นี้เป็นงานประจำตอนเด็ก นอกจากนั้น ยังต้องช่วยน้าผู้หญิงตำข้าวด้วย เพราะสมัยนั้นหมู่บ้านแถบนั้นยังไม่มีโรงสีข้าว
    ชีวิตข้าพเจ้าเวลากินก็จะแสนจะลำบาก แม้แต่เวลานอนก็ลำบาก ถึงฤดูทำนานต้องไปนอนที่กระท่อมนากับน้าผู้ชาย ตื่นเช้าต้องมานึ่งข้าวเหนียวหุงข้าวให้น้า เพราะน้าตื่นมาก็รีบไปไถ่นา เมื่อ หุงข้าวเสร็จก็ต้องหามฟืนกลับบ้านซึ่งห่างจากทุ่งนาประมาณ ๔ กม. พอถึงบ้านก็ต้องรีบกินข้าวไปโรงเรียน ระยะทางจากหมู่บ้านไปถึงโรงเรียน ๓ กม. สมัย นั้นยังไม่พัฒนา ทางการให้ ๓ - ๔ หมู่บ้านไปเรียนหนังสือรวมกันที่โรงเรียนแห่งเดียว ทำให้เด็กนักเรียนแต่ละหมู่บ้านต้องเดินไปเรียนกันทางไกลหน่อย
    พอเลิกเรียนในตอนบ่าย ก็เดินกลับบ้านรีบกินข้าว ซึ่งส่วนมากเป็นข้าวเหนียวในกล่องข้าวหรือกระติบเย็นชืดกับปลาร้าและพริกแทบ ทุกวันอร่อยมากเพราะหิว คนเราเมื่อหิวกินอะไรก็อร่อยทั้งนั้น จากนั้นก็เอากระบุงใส่ปุ๋ยคอกหาบไปทุ่งนานวันละหาบเฉพาะตอนเย็นการไปนาและกลับมาบ้านนั้น บ่าของข้าพเจ้าไม่ว่างจากไม้คานเลย เพื่อน ฝูงที่เขามีนาอยู่ใกล้กัน ๔ - ๕ คน เขาเดินไปตัวเปล่าเดินมาตัวเปล่าหยอกล้อกันบ้าง วิ่งไล่จับกันเล่นสนุกสนาน ส่วนข้าพเจ้าทำไม่ได้เพราะบ่าต้องหาบคอนใส่ของหนักอึ้ง หมดสนุกสนานมีแต่ความเศร้าสร้อย
    น้าผู้ชายท่านรักข้าพเจ้ามาก รักเสมือนลูกของท่านจริงๆ ส่วนน้าผู้หญิงนั้นแกไม่รักข้าพเจ้าเลย ชอบข่มเหงรังแกตลอดเวลา บางครั้งทำอะไรไม่ทันใจแกก็จะจิกหัวหรือเฆี่ยนเอา แต่ถ้าน้าผู้ชายเห็นแล้วจะทำไม่ได้ ชีวิต ของข้าพเจ้าถ้าหากไม่มีน้าผู้ชายช่วยปกป้องแล้วลำบากแสนเข็ญมาก แม้แต่เวลาเข้าเรียนหนังสือเพื่อนเขาได้กระดานใหม่ๆ คือกระดานชนวน ได้กางเกงใหม่ เสื้อใหม่ ดินสอใหม่ ส่วนข้าพเจ้าไม่เคยได้เขียนกระดานใหม่ ได้เคยได้ดินสอใหม่แท่งยาวๆ เหมือนเขาเลย ยาย แกเป็นคนตระหนี่ประหยัด จึงให้ใช้กระดานแตกๆ แต่พอเขียนได้ ดินสอก็สั้นๆ กุดๆ แม้แต่กางเกงของข้าพเจ้าก็จะขาดกระรุ่งกระหริ่ง เพื่อนชอบล้อเล่นอยู่เลยว่า “ลุงก็มาโรงเรียนหรอ”
    หนังสือเรียนก็เก็บเอาของเก่าเขามาให้อ่าน ขาดไปก็มี แต่ก็ยังเป็นบุญบารมีของข้าพเจ้าที่เรียนหนังสือได้เก่งพอสมควร ได้เป็นหัวหน้าชั้นบ่อยที่สุด พูดถึงของใช้แล้ว น้อยนักน้อยหนาที่จะได้ของใหม่ๆ ดี ๆ ถ้าเป็นผ้านุ่งห่มก็รับเอาของเก่าพี่ชายบ้าง ยายเอาของคนอื่นมาให้บ้าง พอถึงหน้าหนาวผ้าห่มก็แสนจะขาดปะแล้วปะอีก กางเกงและเสื้อก็ปะแล้วปะอีก ชีวิตของลูกกำพร้าที่อาศัยยายและน้านั้นแสนจะลำบากเหลือเกิน
    ชีวิตเอ๋ยช่างอาภัพอับโชคกระไรหนออย่างนี้ มองดูชีวิตเพื่อนรุ่นเดียวกันเขาช่างมีความสุขมาก
    ครั้งพออายุได้ ๘ ขวบ เรียนอยู่ประถม ๒ พี่ชายลูกคนละพ่อเขาทำให้ใจไม่อยากจะอยู่บ้านเลย เพราะอยู่บ้านกับยายกับน้าผู้หญิง มีแต่ความทุกข์ใจแสนจะยากลำบากกับการงานหนักเกินวัยเด็ก เวลา เช้าฤดูแล้ง ยายให้ไปส่งข้าวเณรพี่ชายที่วัดทุกเช้า ข้าพเจ้าบอกเณรพี่ชายให้หาหนังสือพระเณรที่เกี่ยวกับการบอกวิธีบวชเรียนและ สวดมนต์มาให้ พี่เณรก็เอาหนังสือเจ็ดตำนานมาให้อ่านและได้บอกคำขอบวชให้ด้วย ข้าพเจ้า เอามาอ่านมาท่องทุกวัน ท่องคล่องปากเพราะเคยได้ยินพระสงฆ์ท่านสวดมนต์อยู่เสมอ วันไหนว่างก็แอบไปวัด เพราะวัดคือสถานที่เล่มเย็นใจหรือสนุกสนานของเด็กๆ บ้านนอก เมื่อไปที่วัดก็ท่องคำขอบวชเณรให้ขึ้นใจยิ่งขึ้นและได้ขอร้องให้พี่เณรมาช่วยพูดกับยาย ขอร้องให้ยายอนุญาตให้ข้าพเจ้าบวชเณรบ้าง พี่ เณรก็บอกว่าเรียนหนังสือยังไม่ทันจบ ป.๔ บวชเณรไม่ได้หรอก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ฟังได้รบเร้าอยู่เรื่อยๆ จนพี่เณรทนไม่ไหวต้องมาบอกยาย เลยโดนยายตวาดเอา
    แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่ลดละความพยายามจะบวชให้ได้ปีต่อมาข้าพเจ้าพยายาม หาวิธีบวชให้ได้ วันไหนว่างแอบไปฟังท่านพระอาจารย์ที่วัดเทศน์และสนทนากับท่านบ้าง ท่านก็ชวนบวช ทำให้ศรัทธาของข้าพเจ้ายิ่งมีมากขึ้น บางวันไถนานปลูกข้างอยู่แต่ร่างกายส่วนจิตใจมาอยู่กับวัดตลอดเวลา วัน หนึ่งปลูกข้าวอยู่กับแม่เป็นวัน ๗ ค่ำ ซึ่งทางภาคอีสานพอถึงวัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ พระเณรที่วัดต้องตีกลองให้สัญญาณบอกวันโกนวันพระ เขาเรียกว่าตีกลองแลง (แลง แปลว่า ตอนเย็น) แม้แต่ตี ๔ ตอนกลางคืนก็ตีกลองอีก ตีสลับกับฆ้องเรียกว่าตีกลองดึก เสียงวังเวงฝูงหมาจะเห่าหอนกันเกรียวทีเดียว
    วันนั้นพอได้ยินพระท่านตีกลองแลง จิตใจของข้าพเจ้าหวิวๆ อยากไรบอกไม่ถูก บอกแม่ว่าเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วผลต้องบวชให้ได้ แม่ก็บอกว่า แม่จะบวชให้ลูกทุกๆ คนนั้นแหละ ข้าพเจ้าก็ดีใจแสนจะดีใจบอกไม่ถูก ถึงวันพระข้าพเจ้าชอบทำบุญตักบาตร แม้แต่ไปเที่ยววัดไหนยามมีงานวัด ก็ต้องทำบุญก่อนเที่ยว เรื่องทำบุญนี้ทำเองด้วยใจรักไม่มีใครบอก เป็นฉันทะความพอใจ ความเลื่อมใสจากส่วนลึกของหัวใจ แม่ เอาเงินให้ไปเที่ยวดูโน่นดูนี้ แต่ข้าพเจ้ากลับเอาเงินไปทำบุญหมดก็มี จิตใจมีแต่เมตตาความรักความเอ็นดูสงสารต่อคนอื่นเสมอ แม้แต่สัตว์ เป็นต้นว่าได้ก็ไม่เคยฆ่า สุนัข แมว มั่ว ควาย ไม่เคยฆ่า มีเมตราสงสารสัตว์เหล่านี้เสมอ เห็น ใครเขาเชือดคอเป็ดคอไก่แล้วต้องรีบเดินหนีด้วยความสงสาร เห็นคนขับเกวียนบรรทุกฟืนเพียบแป้ล เอาดุ้นฟืนขนาดเท่าแขนตีวัวเทียมเกวียม บังคับขู่เข็นให้วัวลากเกวียนไปแต่วัวหมดแรงลากไม่ไหวถูกตีจนล้มฟุบขี้แตก ออกมา ข้าพเจ้าเห็นแล้วถึงกับร้องไห้ด้วยความสงสาร โอ้ หนอ! ทำไมคนเราใจคอโหดร้ายใช้สัตว์ทำงานทารุณถึงปานนั้นช่างไม่คิดเวทนาสงสารวัว ลากเกวียนเอาเสียเลย หรือว่าชาติปางก่อนวัวตัวนั้นเคยเป็นคนทำบาปชั่วมาก ชาตินี้เลยมาเกิดเป็นวัวให้คนเขาทุบตีใช้งานหนักเช่นนี้เป็นการใช้กรรมเวร เพื่อนฝูงรุ่นเดียวกันชอบล้อว่า พ่อใจบุญๆ ทำให้ข้าพเจ้าปลื้มใจเสมอ
    เริ่มบวชเป็นสามเณร อายุ ๑๗ ปี พ.ศ. ๒๕๐๗ ณ. วัดเวฬุวัน บ้านหนองไผ่ ตำบลดอนจิก อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีท่านพระครูสุนทรธรรมวิบูลย์ เป็นพระอุปัชฌาย์ บวชในช่วง ๑๐.๐๐ น. ตำกลางคืนก็เริ่มปฏิบัติสมาธิเป็นแล้ว เพราะเคยฝึกมาก่อนบวช การนำจิตเข้าสู่สมาธิจึงทำได้พอสมควร ปฏิบัติมาตลอดทุกๆ วันในพรรษาแรก จิตก็เข้าสมาธิได้สม่ำเสมอแล้วพรรษาที่สอง สอบนักธรรมตรีได้และการปฏิบัติก็เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ในกลางพรรษาที่สอง พระพุทธองค์ทรงเสร็จมาประทับอยู่ที่หิ้งพระแย้มพระโอษฐ์อยู่นานพอสมควรจึง เสด็จไป


    หมวด: ประวัติพระอาจารย์วิชัย เขมิโย

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อวิชัย วัดถ้ำผาจม 2537

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    เหรียญกู้ภัยให้ลาภ หลวงปุ่ชอบหลวงปู่ศรีจันทร์ ศิษย์สายกรรมฐานหลวงปู่มั่น ครับ รุ่นนี้ท่านทั้ง๒องค์นะครับ สวยรมดำเดิมๆครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  16. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    เหรียญรัชกาลที่5หลวงปู่ชอบ ฉลองศาลาออกวัดท่าแขก ปี 36 ครับ ทันหลวงปู่ชอบครับ

    [​IMG]
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  17. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    พระสมเด็จฐานสิงห์ สมเด็จญาณสังวร และหลวงปู่โต๊ะอธิฐานจิตเดี่ยว3วันครับครับ พิธีดี สร้างปี๒๕๑๖

    กล่องเดิมๆครับ

    ให้บูชา2500 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  18. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    ประสบการณ์จากเหรียญทายาทเนื้อผงสีขาว :: วัดเขาบังเหยชุมพลสีมาราม

    ขอบขอบคุณที่มาข้อมูลอย่างสูงครับ


    พระผงทายาทเขาบังเหย หลวงพ่อนก วัดเขาบัวเหยพิมพ์ใหญ่เนื้อว่าน

    ให้บูชา 600 บาทค่าจัดส่งEMS 50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  19. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    [​IMG]


    ชีวประวัติ ล.พ.สง่า วัดหนองม่วง และ วัดบ้านหม้อ

    ชาติภูมิ หลวงพ่อสง่า อนุปุพฺโพ แห่งวัดบ้านหม้อจังหวัดราชบุรี มีนามเดิมว่า สง่า เวสสุวรรณ เกิดเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2469 เป็นบุตรของนายเขี้ยมและนางเม้า เวสสุวรรณ ณ บ้านหม้อ ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี...... ชีวิตในวัยเยาว์ของท่านได้รับการศึกษาจากโรงเรียนวัดบ้านหม้อโดยมีบรรดาพระ ภิกษุสงฆ์ เป็นผู้อบรมสั่งสอนวิทยาวิชาการอีกทั้งบางวันยังต้องนอนค้างวัดเพื่อช่วย ปรนนิบัติรับใช้ พระสงฆ์อยู่เสมอๆ ดังนั้นชีวิตของหลวงพ่อสง่าจึงอยู่ใกล้ชิดกับพระและวัดมาโดยตลอดจนกระทั่งจบ ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 จึงได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยครอบครัวทำไร่ทำนา
    อุปนิสัย
    ของท่านในวัยหนุ่มก็เหมือนกับวัยรุ่นส่วนใหญ่ทั่วไปที่เสร็จจากการทำงานก็ มักไป เที่ยวเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ไปตามเรื่อง บางครั้งท่านก็ไปเที่ยวยังหมู่บ้านอื่นเพื่อเสาะแสวงหาความรู้ด้านคาถาอาคม จากครูอาจารย์ที่เก่งๆ แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจจนกระทั่งทราบมาว่าที่วัดไทรอารักษ์มีอาจารย์ที่ เชี่ยวชาญคาถา อาคมอยู่รูปหนึ่งจึงดั้นด้นไปพบเพื่อขอเรียนวิชาแต่หลวงพ่อวัดไทรอารักษ์ กลับตั้งคำถามว่า มาจากที่ใดและพอทราบว่ามาจากบ้านหม้อท่านจึงปรารภขึ้นว่า
    “หาหญ้ากินไกลคอกเหลือเกินนะเรา อย่าลืมหญ้าปากคอกดูบ้างว่าหญ้าปากคอกนั้นงามขนาดไหน”
    นายสง่าในขณะนั้นได้แต่คิดถึงถ้อยคำปริศนาที่หลวงพ่อวัดไทรฯได้พูดถึงแต่ก็ คิดไม่ออก จนกระทั่งไม่นานท่านจึงไขปริศนาได้ว่าหญ้าปากคอกที่พูดถึงนั้นก็คือท่านพระ ครูเจ้าอาวาส วัดบ้านหม้อนั่นเองท่านจึงได้ปวารณาตัวเป็นศิษย์เพื่อเล่าเรียนวิชาอาคมนาน นับปีจนมี ความรู้แคล่วคล่องในบทสวด คาถาอาคม อักขระเลขยันต์พอควร
    ต่อมาในปี 2481 ท่านได้ตัดสินใจอุปสมบทที่วัดบ้านหม้อ จ.ราชบุรี ขณะมีอายุได้ 22 ปีโดยมี พระอธิการกลิ่น วัดคงคาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์เกลี้ยง วัดเฉลิมอาสน์เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์เช้งและพระอาจารย์แป๊ะ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ (สมัยนั้นใช้พระคู่สวดในพิธีกรรมถึง 3 รูป) ได้รับฉายาว่า “อนุปุพฺโพ”
    ครั้นอุปสมบทแล้วท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดบ้านหม้อเพื่อศึกษาพระธรรมวินัยจน สามารถ สอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทตามลำดับรวมถึงวิชาอาคมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจาก พระอาจารย์แป๊ะ พระอาจารย์เปีย วัดบ้านหม้อและวิชาการแพทย์แผนโบราณ วิชาสมุนไพร จนกระทั่งเรียกได้ว่ามีความเชี่ยวชาญยากหาใครเทียบในเวลานั้น
    ต่อมาในปี 2484 ทางวัดหนองม่วง อ.บางแพ จ.ราชบุรี ขาดพระสงฆ์ผู้นำที่จะดูแลวัด ชาวบ้านและไวยาวัจกรจึงได้พร้อมใจนิมนต์ท่านให้มาดูแลและพัฒนาวัดหนองม่วง หลวงพ่อสง่าพิจารณาดูแล้วเห็นด้วยกับเจตนาอันบริสุทธิ์ของชาวบ้านท่านจึงได้ ย้ายมาอยู่ ที่วัดหนองม่วงตามคำขอและได้พัฒนาวัดให้ดีขึ้นตามที่ชาวบ้านต้องการดังที่ เห็น ในปัจจุบันโดยได้ใช้วิชาความรู้ที่เรียนมาให้เกิดประโยชน์กับชาวบ้านอย่าง สูงสุด จากนั้นจึงกลับมาจำพรรษาที่วัดบ้านหม้อตามเดิม
    การศึกษาพุทธาคม

    หลวงพ่อสง่าเริ่มศึกษาคาถาอาคมและอักขระเลขยันต์ มาตั้งแต่ตอนสมัยเป็นหนุ่ม ทั้งวิชาสักยันต์ รดน้ำมนต์ ครั้นพออุปสมบทแล้วก็ยังให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยว่า
    “แม้ไม่ใช่กิจของสงฆ์แต่ก็เป็นความนิยมของคนสมัยนั้น เพื่อให้เกิดศรัทธายึดเหนี่ยวทางจิตใจ”
    โดยหลวงพ่อท่านได้เป็นอาจารย์สักอยู่หลายปีจนกระทั่งได้ข่าวว่าผู้ที่ท่าน สักให้ส่วนมากไปกระทำชั่ว เป็นนักเลงเพราะฮึกเหิมลำพองในความคงกระพันของรอยสักที่หลวงพ่อสักให้ ท่านจึงได้เลิกพิธีกรรมการสักทั้งหมดเพราะเห็นว่าสิ่งนี้ไม่เกิดแก่นสารที่ แท้จริง
    เมื่อมีเวลาว่างท่านได้ไปขอต่อวิชากับหลวงปู่ดี วัดบ้านยาง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ซึ่งเก่งในด้านการสร้างพระปิดตามหาอุตม์ คงกระพันชาตรี, หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ จ.กาญจนบุรี โดยได้รับการถ่ายทอดวิชาลบผงอิทธิเจ ปถมัง และการเขียนยันต์ 108, หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง ได้วิชามหาอุตม์, หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมได้ครอบครูนะเมตตาและได้รับการสอนวิชาเจริญวิปัสสนาและครูบา อาจารย์ท่านอื่นๆ อีกมากมาย
    ปฏิปทากิตติคุณและคุณธรรมของหลวงพ่อสง่าช่างมีเมตตาธรรมสูงส่งยิ่งนัก ท่านได้พัฒนาวัดและพัฒนาคนให้รู้จักหลักการดำเนินชีวิตอย่างปกติสุข สอนให้รู้จักอดทน เพียรพยายามพึ่งตนเอง เอาชนะใจตนเอง เน้นวิถีชีวิตอย่างชาวบ้าน ดังที่ท่านเน้นเสมอว่า


    “คนเราถ้าไม่รวยก็อย่าจน ให้มีหิริโอตัปปะ ให้มีความอดทนและเพียรพยายามจะไม่อดตาย ความจนความรวยเราไม่ได้เอามาตั้งแต่เกิด แต่เราทำตัวเราให้รวย ให้จนได้ทั้งนั้น เป็นหนี้ก็เอามาให้พระแก้ เราต้องแก้ที่ต้นเหตุคือตัวเราเอง หาได้ใช้เป็น ใช้ให้น้อย หาพอเพียงก็จะไม่จน”

    หลวงพ่อสง่า ราชบุรี เดิมท่านอยู่วัดหนองม่วงมานาน ประมาณ ปี 2538 ท่านมาอยู่ที่วัดบ้านหม้อ อำเภอโพธาราม ท่านมรณะเกือบ 2 ปี แล้วครับ อายุ 88 ปีเหรียญรุ่นดังของท่านคือ ปี 2511 กับ 2530 ครับ
    เหรียญหลวงพ่อสง่ารุ่นแรก ออกปี 2511 เป็นเหรียญไม่มี พ.ศ ทำไปได้จำนวนหนึ่ง หลวงพ่อก็หยุด แล้วให้ช่างแก้ไขด้านหลัง ใส่พ.ศ 2511 เข้าไป
    รุ่นไม่มีพ.ศ เลยมีน้อยกว่ารุ่นมี พ.ศ 2511
    รุ่นนี้ พิธีเดียวกัน เหรียญส่วนใหญ่กว่า 90 % หลวงพ่อจะจารด้านหน้าเหรียญ
    ทหารและตำรวจ แถวราชบุรี พบประสบการณ์ กันบ่อยๆ
    ของเก๊ออกมาแล้ว เนื้อใหม่ เหรียญหนา และไม่มีจาร

    เหรียญ ปี 2530 ลูกศิษย์ โดนยิงเป็นรอยเล็กน้อยหลังต้นคอ ลง น.ส.พ ท้องถิ่นนานแล้ว
    หลวงพ่อสง่าท่านเป็นพระ สมถะ อยู่ง่ายๆ ไม่มีกุฎิส่วนตัว
    จำวัดนอนที่ศาลาวัด โดยไม่กางมุ้ง ถามคนแถว วัดได้ครับ

    ข้อคิดการสะสมพระเครื่องผมได้จากหลวงพ่อสง่าครับ
    ท่านได้กรุณาสอนว่า ในสมัยก่อนคนห้อยพระองค์เดียว โดยยึดมั่นอาจารย์องค์ไหนก็องค์นั้น
    เราเคยได้ยินว่าคนหนังเหนียวมีจริง เพราะเกจิท่านเก่งมาก
    ท่านสร้างพระแจกด้วยใจที่บริสุทธิ์ คนที่รับพระก็เป็นคนดี วันพระเข้าวัดเข้าวา ก็เลยเสริมกัน เป็น 2แรง
    แต่ปัจจุบันบางวัดหวังปัจจัยกันมาก และคนรับพระบางคนศีล 5 ก็ยังไม่ได้ ความขลังก็อาจจะทำให้สู้รุ่นเก่าไม่ได้
    ท่านบอกว่าคล้องพระในคอ 3 องค์ก็พอ ชอบองค์ไหนก็ขึ้นเลย ให้นึกไว้ 2 ข้อ
    1)เพื่อเป็นสิริมงคลติดตัว
    และเป็นกำลังใจเมื่อต้องเดินทางไกล หรืออยู่ในที่เปลี่ยว ให้นึกว่าหลวงพ่อมาด้วย
    2)ให้เตือนตนเองอยู่เสมอว่า พระอยู่กับตัว อย่าทำอะไรที่ผิด ศีล 5 ข้อเด็ดขาด
    (เอ!.แล้วพวกห้อยพระเต็มคอ แล้วหลอกขายพระะคนอื่นทั้งๆที่รู้ว่าเก๊ จะว่าไงดีล่ะ)
    คนเราถ้าถึงคราวตาย ก็ต้องตาย คนที่ไม่ถึงคราว ไม่คล้องพระก็ไม่ตาย หลวงพ่อท่านย้ำให้ฟัง
    ครั้งหนึ่งเคยมีคนมาให้ท่านทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ โดยบอกว่า ระยะหลังดวงไม่ดี หลวงพ่อตอบว่า ทำแล้วก็แก้ไม่หายหรอก
    มันเป็นเรื่องของบุญกรรมแต่ชาติก่อน
    ถ้าทำก็แค่ให้กำลังใจเท่านั้น ที่อื่นอาจจะมีการทำ แต่หลวงพ่อสง่าบอกว่าท่านจะไม่ทำเด็ดขาด
    เป็นการหลอกเอาเงินเขามากกว่า ท่านชอบพูด อะไรตรงๆ

    ท่านเคยบอกว่า ท่านมาบวช เพราะต้องการ ลด ละ สิ่งต่างๆ แต่บางครั้ง มาให้ตำแหน่งทางโลก เราไม่อยากได้
    ถ้าหากปฎิเสธได้ก็จะปฏิเสธ (ท่านมักจะใช้คำว่าเรา)
    มีพระท้องถิ่นที่คุณนับถือ1-2 องค์ และพระส่วนกลางที่เขานิยมกัน มาขึ้นคอก็โอเค
    ประเภทโฆษณาหาเงินเข้ากระเป๋านักสร้างมืออาชีพ ก็ไม่ต้องไปสนใจ


    ถ้าใครเคยไปกราบท่าน จะเห็นภาพที่ชินตา
    หลังฉันเพล ท่านจะนั่งบนเสื่อ จารแผ่นยันต์ มอบให้วัดต่างๆ
    ตั้งแต่เวลา บ่ายหนึ่งถึง สี่โมงเย็น

    หลวงพ่อสง่า ท่าน มรณะ ตอนอายุได้ 88 ปี
    ปัจจุบัน ร่างท่าน ทางวัด ยังบรรจุเก็บไว้ที่วัด
    ท่านที่ผ่านทางราชบุรี สามารถ ไปกราบท่าน
    และบูชาวัดถุมงคลของท่าน ได้ครับ มีรุ่นเก่าๆ บางรุ่นเหลืออยู่

    หลวงพ่อสง่า อนุปุพโพ นามเดิม สง่า เวสสุวรรณ ถือกำเนิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2459 เป็นบุตรของนาย เขี้ยม นาง เม้า เวสสุวรรณ ที่หมู่บ้านคลองตาคต อ. โพธาราม จ.ราชบุรี
    ชีวิตในวัยหนุ่ม เมือเติบใหญ่ ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ท่านก็ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าตามวิสัยของชายชาตรีทั่วไปเหมือนชาวชนบททั้งหลาย เมื่อเลร็จหน้านาแล้วก็เที่ยวสนุกสนานไปตามหมู่บ้านต่างๆแบบของชายวัยรุ่น คึกคนองบางครั้งอาจจะไปพบครูอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถด้านวิชาอาคมก็จะ ขอศึกษาวิชาอาคมไปด้วย แต่ท่านก็ไม่ประสพความสำเร็จเท่าไรนัก และครั้งหนึ่งมีชายในหมู่บ้านถูกทำร้ายเกือบเอาชีวิตไม่รอด และตัวท่านก็เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างโดยตลอด ท่านก็มาคิดดูว่าถ้าตัวของเรามีวิชาอาคมก็อาจจะช่วยชีวิตเขาได้
    นับแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านก็เดินทางไปในที่ต่างๆ เพื่อศึกษาวิชาหาความรู้จากพระเกจิชื่อดังแต่ก็ไม่เคยเลยที่จะได้สมกับความ ตั้งใจ ที่เรียนมาแต่ละอาจารย์ก็ได้มาเพียงนิดหน่อย
    ครั้นเวลาต่อมาท่านได้เดินทางไปขอเรียนวิชากับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังท่าน หนึ่งที่บอกให้ท่านรู้ว่าท่านเป็นหลานของหลวงพ่อเกลี้ยง เจ้าอาวาสวัดบ้านหม้อ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่แก่กล้าวิชาอาคมขลังมากที่สุด แต่เป็นพระอาจารย์ที่ชอบเก็บตัว มีวิชาอะไรดีก็ไม่เคยพูดคุยอะไร แต่ท่านชอบช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อนเสมอ แม้กระทั่งการรักษาคนที่ถูกคุณไสยต่างๆ พระอาจารย์รูปนั้นยังบอกอีกว่า ท่านนี่ลืมดูของดีใกล้ตัวไปเสียแล้ว เปรียบเสมือนโค-กระบือที่ออกจากคอกได้มุ่งหน้าหาหญ้ากินที่ไกลๆ ลืมมองไปว่าบริเวณหน้าคอกของเรานั้น มีหญ้าที่อุดมสมบรูณ์ที่ดีมีคุณภาพให้รับประทานมากมาย
    เมื่อท่านได้รับคำแนะนำอย่างนี้แล้วจึงรู้ว่า หลวงลุงของท่านนี้ก็แน่กว่าใครๆอีกมากนัก แม้แต่พระอาจารย์รูปนั้นที่ว่าเก่งว่าแน่ ก็ยังเป็นศิษย์ของหลวงลุงของหลวงพ่อสง่า
    หลวงพ่อสง่าพออายุครบบวชแล้วท่านก็บวชที่วัดบ้านหม้อ เมื่อปี พ.ศ. 2481อุปัชฌาย์กลิ่น วัดคงคา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อแป๊ะ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พร้อมด้วยหลวงพ่อเกลี้ยง สมัยนั้นมีพระกรรมวาจาจารย์สองรูป หลวงพ่อเช็ง เป็นอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า " อนุปุพโพ " หลวงลุงของท่านก็ส่งท่านเดินทางไปอยู่ที่วัดหนองม่วง ซึ่งสมัยนั้นแทบจะเป็นวัดร้างเพราะขาดพระสงฆ์ที่จะเป็นผู้นำดูแล ท่านจึงได้ส่งพระหลานชายมาดูแล หลวงพ่อสง่าท่านก็ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสจนกระทั่งได้รับ พระราชทานสมณสักดิ์ที่ " พระครูอนุรักษ์วรคุณ[/size
    หลวงพ่อสง่า เริ่มศึกษาวิชา อักขระเสก เลขยันต์ คาถาอาคมตั้งแต่ตอนเป็นหนุ่มสมัยยังอยู่ที่วัดบ้านหม้อ ทั้งวิชาสักหมึก ลงน้ำมัน ตามความเชื่อถือของคนหนุ่มในสมัยนั้นเมื่อท่านบวชเรียนแล้ว ท่านก็ให้ความสนใจใฝ่ศึกษาอย่างต่อเนื่อง หลวงพ่อสง่าท่านยังกล่าวให้ฟังอีกว่า แม้ไม่ใช่กิจของสงฆ์ แต่เป็นความนิยมของชาวบ้านคนสมัยนั้น เพื่อให้เกิดความศรัทธายึดเหนี่ยวทางจิตใจ เราก็อนุเคราะห์ตามที่เราจะทำได้]
    หลวงพ่อสง่า เป็นอาจารย์สักยันต์อยู่หลายปีทีเดียว ทั้งนี้เพื่อให้ชาวบ้านมีโอกาสใกล้วัดมากขึ้น ทางที่จะมุ่งเข้าสู่อบายธรรมอบรมสั่งสอนได้ง่ายยิ่งขึ้น คนที่สักยันต์จากหลวงพ่อสง่าไปแล้วเป็นคนดีก็มาก ป็นนักเลงหัวไม้ก็มี และหลังจากนั้นหลวงพ่อสง่าท่านก็เลิกพิธีกรรมทั้งหมด เพราะเห็นว่าไม่เกิดแก่นสารที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน
    สำหรับการศึกษาวิชาจากครูบาอาจารย์ต่างๆนั้น หลวงพ่อสง่าท่านกรุณาเล่าให้ฟังต่ออีกว่า อาจารย์แต่ก่อนเขาให้เราศึกษาวิธีก่อน " วิชานั้นหาง่ายแต่วิธีนี่สิหายาก " วิชาเขียนอยู่ในตำหรับตำรานั้นมีมาก แต่วิธีใช้วิธีปฏิบัติจริงต้องใช้เป็น ครูบาอาจารย์สมัยก่อนท่านจึงสอนให้รู้จักวิธีใช้วิธีทำกันก่อน วิชาอาคมที่หลวงพ่อสง่าได้เดินทางไปขอศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติม มีพระเกจิอาจารย์หลายรูปด้วยกัน อาทิเช่น หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม นครปฐม หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ เมืองกาญจนบุรี หลวงพ่อ แช่ม วัดตาก้อง นครปฐม พระอาจารย์เช็ง หลวงพ่อดี วัดบ้านยาง นครปฐม และครูอาจารย์อีกหลายรูป ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดสรรพเวทวิทยาคมให้ท่านอย่างเอกอุจนสามารถมีวิชาความ รู้วิธีปฏิบัติได่อย่างเชี่ยวชาญในพระเวทไม่ว่าท่านจะทำวัตถุมงคล ตะกรุด ผ้ายันต์ พระเครื่อง ล้วนมีอภินิหารประสบการณ์ทั้งสิ้นหลวงพ่อสง่าท่านได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2547 รวมสิริอายุได้ 88 ปี 18 วัน
    ส่วนของวัตถุมงคลจะขอเสนอในคราวต่อไป

    ขอบขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    เหรียญหลวงพ่อสง่า ปราบก๊อดอาร์มี่

    [​IMG] [​IMG]

    เหรียญหลวงพ่อสง่าวัดหนองม่วง ปี๓๑

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  20. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,856
    ค่าพลัง:
    +21,359
    ประวัติ หลวงปู่ทองดำ ฐิตวณโณ วัดท่าทอง จังหวัดอุตรดิตถ์
    [​IMG]


    หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง จ.อุตรดิตถ์

    ภูมิหลังชาติกำเนิด


    วันพุธ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 5 พุทธศักราช 2441 ณ.บ้านไซโรงโขน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร นายบุญนาค นางจ่าย แม่พริ้ง ได้ให้กำเนิดบุตรคนที่ 4 เพศชาย(ในจำนวนพี่น้องชายหญิง 8 คน) บิดามารดาได้ตั้งชื่อ เด็กชายทองดำ เม่นพริ้ง

    วัยเด็ก

    ขณะเด็กชายทองดำ อายุ 3 ขวบ บิดามารดาได้นำไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมกับหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ (หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร) หลวงพ่อเงินเห็นครั้งแรกได้เอ๋ยคำออกมา "ไอ้หนูเด็กน้อยคนนี้เป็นเทวดามาเกิด ใครเลี้ยงก็ไม่ได้ มาเป็นลูกของเราเถิดนะ" หลวงพ่อเงินเอาผ้าผืนลงปูรองรับเด็กน้อยคนนี้ ทำพิธีรับลูก

    จากนั้นเด็กคนนี้ได้รับการเลี้ยงดูอุปถัมภ์ สั่งสอน อบรม วิชาความรู้ และสรรพวิชาต่าง ๆ โดยได้พักอาศัยกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อเงิน ท่องบทสวดมนต์เด็กชายทองดำก็สามารถท่องได้จบเล่มในวันเดียว ชาวบ้านรู้ข่าวต่างแห่มาดูการใหญ่ว่าเด็กน้อยคนนี้มีหน้าตาอย่างไร
    กระทั่งโตขึ้นบิดามารดามารับเด็กชายทองดำไปเล่าเรียนศึกษากับอาจารย์โต (เจ้าอาวาสวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ จ.อุตรดิตถ์ในสมัยนั้น)

    วัยหนุ่มฉกรรจ์

    นายทองดำได้ฝึกฝนและศึกษาศิลปะการต่อสู้แม่ไม้มวยไทยจนมีความชำนาญ จนได้เป็นนักมวยที่มีฝีมือดีคนหนึ่ง ซึ่งช่วงวัยหนุ่มนี้ทองดำได้เพื่อนคนหนึ่งชื่อ "เล็กย่งหลี"(ต้นตระกูลเล็กอุทัย)มีรูปร่างเล็กไปไหนไปด้วยกันประจำ ได้ฝึกชกมวยด้วยกันมา หากออกชกมวยที่ไหนจะให้เล็กย่งหลีขึ้นไปเปรียบหาคู่ชก แต่ตอนเวลาชกนายทองดำจะเป็นผู้ชกแทน ก่อนชกนายทองดำจะบริกรรมคาถาที่ได้ร่ำเรียนมาโยมปู่จนรู้สึกตัวหนา(ของขึ้น)และนายทองดำก็สามารถชกมวยชนะแทบทุกครั้ง

    อายุครบเกณฑ์ทหาร ได้เข้ารับเป็นทหาร 2 ปี ปลดจากทหารประจำการแล้วจึงได้อุปสมบทสู่ร่มพระศาสนา

    สู่ร่มพระศาสนา

    หลวงปู่ทองดำ อุปสมบทเมื่ออายุ 22 ปี ณ. พระอุโบสถ วัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ โดยมีพระครูวิเชียรปัญญามหามุนี (เรือง )เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดท่าถนน ต.ท่าอฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ในขณะนั้นเป็นองค์อุปัชฌาย์ เมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2463
    พระอาจารย์แส เจ้าอาวาสวัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า
    “ฐิตวณโณ” เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดท่าทอง 1 พรรษา ทางวัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ ตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง คณะศรัทธา วัดท่าทองได้ลงความเห็นพ้องกัน โดยได้ไปกราบนมัสการเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เพื่อขออนุญาตจากเจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ด้วยดี คณะศรัทธาให้”พระภิกษุทองดำ” เพื่อนิมนต์ให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง ซึ่งหลวงพ่อเองก็มีเจตนาอันบริสุทธิ์และจิตใจอันแน่วแน่ต่อพระพุทธศาสนาและ เป็นโอกาสที่จะได้พัฒนาทำนุบำรุงเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุงเรือง ยิ่งขึ้นสมความตั้งใจ หลวงพ่อจึงรับภารกิจนิมนต์ครั้งนี้และย้ายมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2468เป็นต้นมา

    การศึกษาพระปริยัติธรรม

    การที่หลวงย้ายมาจากวัดท่าทองมาอยู่วัดท่าถนน ซึ่งเป็นวัดของพระอุปัชฌาย์ของท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่นั้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างจริงจัง เพื่อศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับพระธรรมวินัยให้ละเอียดและถ่องแท้ หลวงปู่ได้มีความขยันเพียนตั้งใจศึกษาด้วยความวิริยะอุตสาหะภายในปีเดียวก็ สอบได้นักธรรมตรี (พ.ศ.2466) ด้วยเหตุแห่งการศึกษาทางพระธรรมวินัยในสมัยนั้นยังไม่เจริญพอการศึกษามี เพียงชั้นนักธรรมตรีเท่านั้น ฉะนั้นการศึกษาของท่านต้องหยุดชะงักลง

    ตำแหน่งการปกครองและสมณศักดิ์ที่ได้รับตั้งแต่ปี พ.ศ.2468
    หลวงปู่ทองดำ มีตำแหน่งการปกครองคณะสงฆ์และสมณศักดิ์พัดยศดังนี้

    - ปีพ.ศ.2468 อายุ 27 ปี พรรษา 5 ดำลงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง
    - ปี พ.ศ.2478 ได้รับสมณศักดิ์แต่งตั้งเป็นพระธรรมธรฐานานุกรมของพระครูวิเชียรปัญญา มหามุณีศรีอุตรดิตถ์ เจ้าคณะอุตรดิถต์
    - ปี พ.ศ.2482 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะเป็นเจ้าคณะตำบลหาดกรวด-วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์และในปีนั้นได้เลือนสมณศักดิ์แต่งตั้งเป็นพระปลัดฐานานุกรม ของพระครูธรรมสารโกวิทย์ (ยศ)เจ้าคณะแขวงเมืองอุตรดิตถ์
    - ปี พ.ศ. ได้รับการแต่งตั้งเป็นสาธารณูปการ อ.เมืองอุตรดิตถ์
    - ปี พ.ศ. 2487 ได้รับพระราชทานเป็นพระครูธรรมมาภรณ์ประสาท
    - ปี พ.ศ.2497 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์
    - ปี พ.ศ.2498 ได้รับการแต่งตั้งเป็นสาธารณูปการจังหวัดอุตรดิตถ์
    - ปี พ.ศ.2504 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชทานคณะชั้นสามัญนาม “พระนิมมานโกวิท”
    - ปี พ.ศ.2510 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์
    - ปี พ.ศ.2542 ได้รับแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์ จวบจนมรณภาพ

    การศึกษาด้านเวทย์มนต์คาถาอาคม

    ช่วงวัยเด็ก หลวงปู่ทองดำ ฐิตวณโณ ได้ ติดตามบิดาล่องเรือขายยาสูบระหว่างอุตรดิตถ์ จ.พิจิตร จ.นครสวรรค์ บิดามารดาได้ฝากเป็นเด็กวัด เรียนหนังสือกับหลวงพ่อเงิน พุทธโชติ วัดบางคลาน จ.พิจิตร คอยรับใช้ใกล้ชิดท่านอนุญาตให้พักกุฎิเดียวกับท่าน หลวงพ่อเงินได้สอนสรรพวิชาอาคมไสยเวทต่าง ๆ คาถาที่หลวงพ่อเงินสอนไว้นั้นที่สำคัญคือ “นะโมพุทธายะ” (พระเจ้าห้าพระองค์) ซึ่งต่อมาหลวงปู่ได้ใช้เป็นคาถาประจำตัวของท่านตลออดมา นอกจากนั้นหลวงปู่ยังได้ศึกษาวิชาอาคมกับโยมปู่ของท่าน ซึ่งเป็นวิชาอยู่ยงคงกระพัน เพื่อป้องกันตนเอง หลวงปู่ได้ใช้วิชานี้ปลุกเศกตัวเองก่อนจะขึ้นชกมวยทุกครั้ง โดยก่อนจะขึ้นชกมวยหลวงปู่จะบริกรรมคาถาจนรู้สึกว่าเนื้อเริ่มหน่าขึ้น (ของชึ้น)จึงจะชกได้

    เมื่อขณะหลวงอุปสมบทแล้ว ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดท่าถนน (วัดหลวงพ่อเพ็ชร) ซึ่งอยู่ในตัวเมืองอุตรดิตถ์ หลวงปู่ทองดำ ทราบว่าที่วัดกลางอยู่ห่างจากวัดท่าถนนทางทิศใต้ประมาณ 2 กิโลเมตร มีพระภิกษุชราอยู่รูปหนึ่ง “หลวงพ่อทิม” ขาดการดูแลเอาใจใส่ หลวงปู่ทองดำ จึงได้ใช้เวลาว่างเดินทางจากวัดท่าถนนมาวัดกลางทุกวัน เพื่อปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อทิมด้วยจิตใจเมตตาและให้ความเคราพนับถึอ โดยหลวงปู่ทองดำ ได้ปฎิบัติภารกิจเป็นประจำทุกวัน ได้แก่ ตักน้ำ ขึ้นมาจากท่าแม่น้ำน่าน นำมาใส่ตุ่มไว้ให้หลวงพ่อทิมได้สรง เก็บกวาดกุฎิ ชำระล้างภาชนะต่างๆ ประจำมิขาด โดยหลวงปู่ทองดำ มิได้หวังสิ่งค่าตอบแทนใดๆทั้งสิ้น แต่ทำไปเพราะจิตเมตตาแก่ภิกษุผู้สูงอายุโดยแท้ซึงจากการกระทำความดีของหลวง ปู่ ทำให้หลวงพ่อทิมซึ่งขณะนั้นไม่มีผู้ใดทราบความเป็นมาหลวงพ่อทิมว่าเป็นพระ ภิกษุเชี่ยวชาญมนต์คาถาทุกด้าน ซึ่งกิตติศัพท์ ชาวบ้านย่านเกาะบางโพและตำบลใกล้เคียงทราบคือ “ตะกรุดโทน”

    ซึ่งหลวงพ่อปลุกเศกโดยดำลงน้ำจารึกอักขระบนแผ่นตะกรุดจน กว่าจะเสร็จ น่าเสียดายวันหนึ่งมีมนุษย์ผู้เขลาด้วยปัญญา นำตะกรุดที่ท่านมอบไปผูกคอสุนัขและยิงสุนัข แต่ปาฎิหารย์กระสุนด้านหมด เมื่อหลวงพ่อทิมเห็นสุขันวิ่งหลบใต้กุฎิจึงถอดออกจากคอสุนัข ท่านโกรธจึงประกาศงดให้เครื่องรางของขลังแก่ ชาวบ้าน หลวงปู่เมื่อได้รับมอบวิชาและตำราจากหลวงพ่อทิมไปแล้ว ท่านหมั่นศึกษาภาวนาปฎิบัติ ทุกบท ทุกวรรคตอน จนสิ้นกระบวนความในตำรา จนชาวบ้าน บ้านเกาะต่างกล่าวกันว่าหลวงพ่อทิมไปเกิดที่วัดท่าทอง หลวงปู่ได้ใช้คาถาอาคมช่วยเหลือชาวบ้านตลอดมา ประพรมชาวบ้านที่แวะเวียนมากราบนมัสการท่าน ซึ่งน้ำมนต์นี้หลวงปู่จะปลุกเศกทุกวัน ใส่โองมังกรขนาดใหญ่

    จบ ประวัติหลวงปู่ทองคำ วัดท่าทอง



    พระเหนือพรหม ลูกศิษย์ชาวสิงคโปร์สายหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทองสร้างถวายให้หลวงปู่ทองคำ วัดท่าทอง อุตรดิตย์ ปลุกเสก พระส่วนใหญ่ไปอยุ่กับชาวสิงคโปรค์และศิษย์สายหลวงพ่อแพ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาข้อมูลอย่างสูงครับ

    มี 2 องค์

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งEMS50 บาทครับ

    องค์ที่ 1

    [​IMG] [​IMG]

    องค์ที่ 2
    [​IMG] [​IMG]


    ใบฝอยที่ติดมาด้วย
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...