เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 เมษายน 2025 at 22:10.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ภารกิจสำคัญก็คือไปร่วมปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) หมู่ที่ ๕ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ในระหว่างเดินทางกลับก็ได้ทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ในหัวข้อ "เล่าความหลัง" ของเรากันต่อไป

    สำหรับในช่วงตอนเด็กนั้น จะมีเรื่องของความบันเทิงและอบายมุขต่าง ๆ หลายอย่างหลายประการด้วยกัน เพียงแต่ไม่ได้หลากหลายเหมือนกับสมัยนี้

    ขอกล่าวถึงเรื่องอบายมุขโดยเฉพาะการพนันก่อน ส่วนหนึ่งก็จะเล่นกันในงานศพ เนื่องเพราะว่าเป็นค่านิยมว่าเล่นเป็นเพื่อนศพ ไม่ต้องจ่ายภาษีและไม่โดนตำรวจจับ อีกส่วนหนึ่งก็ตีตั๋วตั้งบ่อนอย่างเป็นทางการ อีกส่วนหนึ่งก็หลบเล่นกันอยู่ตามป่าช้าบ้าง ป่าท้ายบ้านบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นที่ลึกลับเฉพาะตน ถ้าไม่ใช่บุคคลที่รู้กันจริง ๆ ก็มักจะหาไม่เจอ

    ถ้าหากว่าเป็นการพนัน ส่วนใหญ่ก็จะเป็นไพ่และไฮโลว์ จะมีพวกกำถั่วหรือว่าเล่นโปบ้าง ก็แล้วแต่ว่าใครจะถนัดแบบไหน การเล่นโปนั้นก็จะมีการนับทีละ ๔ เม็ดมะขาม ก็คือถ้าหากว่าหาเม็ดมะขามส้มได้ ก็จะใช้เม็ดมะขามส้มในการที่เอามาเพื่อที่จะ "ปั่นโป" กัน หรือถ้าหมดท่าขึ้นมา เมล็ดน้อยหน่าก็ใช้ได้ ถึงเวลาเจ้ามือจะเอาไม้เขี่ย นับทีละ ๔ เม็ด แล้วก็ดูว่าสุดท้ายเหลือเท่าไร ? ใครแทงถูกหรือแทงผิด ? จนกลายเป็นสำนวน "แจงสี่เบี้ย" ในทุกวันนี้

    ส่วนการพนันอื่น ๆ นั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของการชนไก่ กัดปลา ในเรื่องของวัวชนควายชนนั้นไม่เคยเจอ การชนไก่และกัดปลานั้น ก็ต้องตีตั๋วติดบ่อนเหมือนกัน แต่ว่าก็มีส่วนหนึ่งที่อยู่ในลักษณะของ "บ่อนวิ่ง" ก็คือนัดกันไปเล่นที่บ้านโน้นบ้าง บ้านนี้บ้าง ย้ายหนีไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้โดนจับได้..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    การพนันส่วนหนึ่งก็เสียกันแค่เล็ก ๆ น้อย ๆ เพราะว่าสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีเงินกัน ส่วนใหญ่ก็มีข้าวปลาอาหารพอที่จะกินได้ครบรอบปีเท่านั้น เงินทองนั้นส่วนหนึ่งยังใช้ธนบัตร หรือว่าเหรียญในสมัยรัชกาลที่ ๘ แล้วก็ยังมีบรรดาสตางค์รู ไม่ว่าจะเป็นเหรียญสตางค์แดง หรือว่าเหรียญสตางค์ที่ทำจากดีบุก

    มาระยะหลัง ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้เหรียญรัชกาลที่ ๙ ทั้งหมดนั้น มี "ร้านโชห่วย" ซึ่งก็คือร้านสะดวกซื้อของสมัยก่อน เป็นพ่อของเพื่อนชื่อว่า "ซิบเจ็ก" คำว่า "เจ็ก" ก็คือ "อา" น้องพ่อนั่นเอง แต่สมัยนั้นถ้าเขียนจะเป็น "อาว์" แกมาจากตระกูลแซ่ตั้ง ถ้าเป็นภาษาจีนกลางก็คือแซ่เฉิน แล้วลูกสาวที่เรียนอยู่ชั้นเดียวกับกระผม/อาตมภาพ ก็คือเด็กหญิงเง็กบ๊วย แซ่ตั้ง ถ้าเป็นชื่อภาษาจีนกลางก็คือ เฉิน อวี้ เหมย

    ซิบเจ็กเคยเรียนวิทยายุทธ์มา แล้วถ้าใครมาซื้อของ ถ้าหากว่าเป็นเหรียญเนื้อดีบุก ซึ่งเรียกง่าย ๆ ว่า "สตางค์รู" เหรียญสตางค์รูสมัยก่อนนั้น มักจะร้อยมาด้วยเข็มกลัดตัวใหญ่ ทีละ ๑๐ เหรียญบ้าง ๒๐ เหรียญบ้าง ๒๕ เหรียญบ้าง เพื่อมาซื้อของ อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ก๋วยเตี๋ยวชามละ ๒๕ สตางค์ พอมาช่วงหลัง ๆ ที่ทางราชการจะเรียกเก็บธนบัตร หรือว่าเหรียญรัชกาลที่ ๘ ทั้งหมด ซิบเจ็กก็จะอยู่ในลักษณะของการที่เลือกรับเหรียญ

    ถ้าใครส่งเหรียญที่ทำด้วยดีบุกไปให้ แกจะวางไว้ระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลาง แล้วใช้นิ้วหัวแม่มือกดลงไป ถ้าหากว่าหักก็ไม่รับ..จะคืนให้ ถ้าไม่หักถึงจะรับเอาไว้ เพราะแสดงว่ามีส่วนผสมของโลหะเงินอยู่มาก เพียงพอที่จะนำไปหลอมแล้วทำกำไรได้ตามประสาพ่อค้า ต้องบอกว่าในสมัยนั้น การเรียนวิชาป้องกันตัวของคนรอบบ้าง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิทยายุทธ์จากเมืองจีน เพราะว่ามีเชื้อสายจีนกันแทบทั้งนั้น

    อาเจ็กอีกคนหนึ่งชื่อว่า "หีเม้งเจ็ก" ซึ่งถ้าหากว่าเป็นภาษาไทยก็คือ "อาหูดี" แต่คราวนี้ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า "หีเม้ง" พอถึงเวลาแกเปิดร้านขายของ บรรดาคนไทยก็ไปแซวว่า "อาแปะหีเหม็น ขอซื้อเหล้ากั๊กหนึ่ง" อาแปะก็ขายให้หน้าตาเฉย จนกระทั่งบางทีลูกเมียโกรธหน้าดำหน้าแดง ถึงขนาดต่อว่า "ทำไมพ่อถึงทำไม่รู้ไม่ชี้ให้เขาเรียกแบบนั้น ? ไม่รู้หรือว่าเป็นคำด่า คำหยาบคาย"

    อาแปะแกก็บอกว่า "มันจะพูดอะไรก็เรื่องของมัน ถึงเวลามันก็ต้องเอาสตางค์มาให้เรา..!" กระผม/อาตมภาพยังรู้สึกว่าอาแปะหีเม้งแกเป็นคนที่วางตัวเป็น อย่างที่สมัยนี้เรียกว่า "อยู่เป็น" นั่นเอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    อาแปะแกจะใช้กล้องยาสูบที่ทำจากเหง้าไม้ไผ่ ทางด้านปลายกล้องเลี่ยมทองเหลือง ทางด้านหัวกล้องซึ่งเป็นที่ใส่ยาเส้น ก็เป็นทองเหลือง ตั้งแต่หัวจรดท้าย ยาวประมาณศอกเศษ ๆ ถึงเวลาบรรดานักเลงคนไทยถือคมแฝกบ้าง ถือมีดดาบบ้าง มีดซุยบ้าง มาหาเรื่อง อาแปะแกตีด้วยกล้องยาสูบ ไม่มีใครถืออาวุธติด เพราะว่าทุกครั้งแกจะเคาะใส่ชีพจรข้อมือพอดี จะมาท่าไหนก็ตาม โดนอาแปะแกหวดกลิ้งหมด..! ตอนหลังพวกนักเลงจึงไม่กล้าที่จะไปยุ่งกับแก มาในระยะหลัง แกยังสอนวิทยายุทธ์ให้กระผม/อาตมภาพด้วย

    แล้วโดยเฉพาะถึงเวลา ถ้าหากว่าหาอะไรกินไม่ได้ ก็จะบอกอาแปะว่าอยากจะกินอะไร ? ถ้าเป็นนกกระทา แกก็พาเข้าไปในไร่ ซึ่งส่วนใหญ่มีการขุดพลิกดินขึ้นมาแล้ว บรรดานกกระทาจะมาซุ่มหากินกันอยู่ตามแนวก้อนดิน อาแปะแกก็จะเอาผ้าขาวม้ามาบิดเป็นเกลียวแข็ง แล้วถึงเวลาก็ให้กระผม/อาตมภาพเอาก้อนดินโยนเข้าบริเวณที่นกหากินอยู่

    ปกติแล้วนกกระทาจะซุ่มอยู่ติดพื้น แต่ถ้าหากว่าตกใจถึงจะบินขึ้น อาแปะก็จะขว้างด้วยผ้าขาวม้าที่ม้วนเกลียวแข็งอยู่อย่างนั้น รับรองว่าไม่เคยพลาด ขว้างเมื่อไรก็ได้กินเมื่อนั้น ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกัน อาแปะบอกว่าวิชานี้ คนจีนเรียกว่า "บิดผ้าเป็นกระบอง" สามารถใช้เป็นอาวุธได้ด้วย ในเมื่อซิบเจ็กแกเป็นคนที่ฝึกวิทยายุทธ์มา จึงสามารถที่จะใช้นิ้วมือกดให้เหรียญหักกลางได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่กระผม/อาตมภาพขนาดใช้ค้อนทุบแล้ว ยังไม่ค่อยอยากจะหักเลย..!

    ในเรื่องของการพนันส่วนอื่น ๆ ที่เคยเห็นอยู่ ก็จะมีในลักษณะของการทายหมายเลขรถที่วิ่งผ่านมา ซึ่งตอนนั้นก็มีรถอยู่ในหมู่บ้านแค่สองคันเท่านั้น ถึงเวลามีคนที่จำแม่น ฟังเสียงได้ว่ารถคันนี้เป็นของผู้ใหญ่บ้าน รถคันนี้เป็นของกำนัน ก็เป็นอันว่ากินอีกฝ่าย "หมดตัว" ทุกที ซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งหูไม่ดีเท่า ยังสงสัยจนทุกวันนี้ว่า ทำไมคู่หูถึงได้ทายแม่นขนาดนั้น ? แต่ว่าถ้าไม่เสียเงินเลี้ยงเหล้า ก็ต้องเสียสตางค์ ซึ่งสตางค์สมัยนั้นเรียกว่า "เสียอัฐ" "เสียเบี้ย" ให้กับอีกฝ่ายหนึ่งไปชนิด "หมดเนื้อหมดตัว" เลยก็มี..!

    ส่วนเรื่องอบายมุขอื่น ๆ ก็มีน้ำตาลเมา ส่วนใหญ่ก็เป็นน้ำตาลโตนด หรือว่าน้ำจากต้นมะพร้าว ที่เขาปาดแล้วก็เอากระบอกไม้ไผ่ไปรองไว้ตั้งแต่ตอนเช้า โดยเฉพาะถ้าจะทำเป็นน้ำตาลเมา ผู้ใหญ่ก็จะให้เราถากเปลือกตะเคียนบ้าง ขุดเอารากต้นมะเกลือบ้าง มาปิ้งไฟพอเกรียม ๆ แล้วก็ใส่กระบอกไปด้วย ประมาณ ๕ - ๖ ชั่วโมงก็เริ่ม "ได้ที่"

    คำว่า "ได้ที่" ก็คือกินเข้าไปแล้วจะมึน ๆ แล้วเป็นการมึนอยู่ในลักษณะที่ไม่ค่อยจะรู้ตัว บางคนถ้าหากว่าสั่งกินไป ๒ หม้อเขียว ๓ หม้อเขียว เพราะว่ารสหวาน กินง่าย พอถึงเวลาเพื่อนบอกว่าจะไปส่งบ้าน ก็รีบห้ามไว้ บอกว่า "ไม่เป็นไร กูกลับได้" แต่พอลุกขึ้นก็หงายหลังโครมลงไปเลย..! เพราะว่าน้ำตาลเมานั้นเป็นอะไรที่เมาแบบนิ่มนวลมาก เมาชนิดที่คนกินไม่รู้ตัวว่าตนเองเมาอยู่..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    ยิ่งถ้าหากว่ามีปลาปิ้ง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลาช่อนตากแห้ง สมัยนั้นไม่ได้นิยมตากแดดเดียวแบบนี้ แต่ว่าตากแห้งอย่างชนิดที่แข็งเป็นหินไปเลย ถึงเวลาก็สับเอามาปิ้ง แล้วทุบพอที่จะให้กินได้สะดวก ถ้ากินกับน้ำตาลเมา ก็จะอยู่ในลักษณะที่ว่า "เข้ากันดีเหมือนผีกับโลง"..!

    ในด้านอื่น ๆ นั้น ถ้าเป็นความบันเทิงก็จะเน้นในเรื่องของลิเก ในส่วนของลิเกที่โด่งดังที่สุดก็คณะหอมหวล มาภายหลังก็มีคณะศิษย์หอมหวล แล้วก็คณะลูกหอมหวล คณะหลานหอมหวล ขึ้นมาเยอะแยะไปหมด ไม่รู้ว่าใครจริง ใครไม่จริง แต่ถ้าเป็นของหอมหวลนั้นรับประกันได้ว่า เล่นที่ไหนก็ "วิกแตก" ที่นั่น..!

    คำว่า "วิก" นั้นจริง ๆ ก็คือการที่เขาล้อมผ้าหรือว่าล้อมสังกระสี กั้นเขตเอาไว้ เพื่อเก็บเงินให้คนดูเข้าเพียงทางเดียว คำว่า "วิกแตก" ก็คือคนไปมากจนกระทั่งสถานที่รับไม่ได้ ท้ายที่สุดก็ต้องรื้อผ้าที่ล้อมเอาไว้ หรือว่ารื้อสังกะสีที่ล้อมเอาไว้ออก ให้คนอื่นได้ดูบ้าง ไม่เช่นนั้นก็มีหวังโดนพังวิกแน่นอน..!

    กระผม/อาตมภาพมารู้ทีหลังว่าหอมหวลนั้นมีคาถานะปัดตลอด ถึงเวลาเสกแป้งเป่าไปทางไหน คนทางด้านนั้นจะต้องมาดูลิเกของแก สมัยนั้นเป็นยุคของไสยศาสตร์เฟื่องฟู ไม่ว่าจะเป็นการเสกกลอง เสกระนาด เสกธงต่าง ๆ เพื่อที่จะเรียกคน รู้สึกว่าจะทำได้ขลังมากเป็นพิเศษ..!

    บางอย่างกระผม/อาตมภาพก็มารู้ทีหลังว่า อย่างเช่นว่าดินติดหน้าตะโพนนั้น ถ้าจะเอาขลังจริง ๆ ไม่ใช่แค่ข้าวสุกกับขี้เถ้า แต่เอาขี้เถ้าจากผีตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร มาขยำกับข้าวสุก เพื่อติดหน้าตะโพนให้ตึงขึ้นมา เพราะว่าหน้าตะโพนนั้น พอถึงเวลาโดนความชื้นก็จะหย่อนลง เมื่อเอาข้าวสุกผสมขี้เถ้าไปติด พอข้าวสุกเริ่มแข็งตัว ก็จะดึงหนังตะโพนให้ตึงขึ้นมา ทำให้ตีแล้วมีเสียงไพเราะ เขาก็จะมีคาถาที่กำกับเอาไว้ พร้อมกับใช้อำนาจของผีมาช่วย ใครได้ยินก็จะต้องมาจ่ายเงินเพื่อดูหนังดูลิเกตามที่เขาต้องการ

    แล้วบรรดาผู้ใหญ่ก็รออยู่ ว่าถ้าหากว่ามีกลองแตกเมื่อไร ก็จะไปขอหนังกลองแตก เอาไปให้หลวงพ่อหลวงปู่ลงด้านเมตตามหานิยมติดตัวเอาไว้ พร้อมกับมีคาถากำกับ ถ้าหากว่าไปหาผู้หญิงคนไหน ตั้งใจว่าจะรับเขาเป็นลูกเป็นเมียอย่างแท้จริง พกตะกรุดหนังกลองแตกไปพร้อมกับว่าคาถา รับประกันได้ว่าผู้หญิงจะต้องตามมา แต่ว่าผู้หญิงบางคนก็มีของดีเช่นกัน ได้ยินว่าแม้แต่พ่อปู่ขุนพันธ์ (พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช) พอทำเสน่ห์เสร็จแล้ว สาวเดินตามมาตั้งไกล แต่อาจจะเป็นเพราะว่ามีเครื่องรางของขลังคุ้มตัว หรือว่ามีเทวดารักษาตัวก็ไม่รู้ ? แกได้สติขึ้นมาก็วิ่งกลับบ้านไปตามเดิม..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    มีคนถามว่าพ่อปู่ขุนพันธ์ว่า "ทำไมไม่ไปทำซ้ำ ?" พ่อปู่ขุนพันธ์บอกว่า "เขาไม่มีใจให้กับเรา ถึงทำซ้ำก็ไม่สำเร็จ" เนื่องเพราะว่าถ้าบุคคลที่มีใจให้ พอโดนอำนาจของไสยศาสตร์ชักจูง ก็กลายเป็นหลงใหลไปเลย แต่ถ้าไม่มีใจให้ ก็มักจะได้สติขึ้นมา แล้วไม่ยอมไปด้วย เหล่านี้เป็นต้น

    ในเรื่องของภาพยนตร์ สมัยนั้นเป็นภาพยนตร์ ๘ มิลลิเมตร ซึ่งถ้ามาฉายในสมัยหลังที่ใช้จอซีนีมาสโคป ใหญ่มหึมา ก็จะเป็นแค่ภาพเล็ก ๆ ตรงกลางจอเท่านั้น โดยมีการขายยา ก็คือมี ยาแก้ปวดฟัน ยาแก้ปวดหัว ยาแก้ปวดท้อง สารพัดยา แล้วแต่เขาจะโฆษณาว่าดีอย่างไร แล้วก็มีการลองเอามาอุดฟันคนดูหนังซึ่งเป็นรูผุอยู่ สามารถที่จะเอาหนอนออกมาให้พวกเราดูได้ มารู้ทีหลังว่าเขาซุกหนอนอยู่ภายในสำลีนั้นแล้ว แต่พวกเรามองไม่ทันว่าเขาทำไปตอนไหน

    แต่ว่าการโฆษณาขายยานั้นน่ารำคาญมาก เพราะว่าพูดแล้วพูดอีก ตราบใดที่ไม่มีคนซื้อก็ไม่ฉายหนังต่อ ก็เลยมีการที่ช่วยกันออกเงิน เพื่อที่จะซื้อยา แล้วก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปใช้อะไร เพราะซื้อไปแล้วก็ไม่แน่ใจว่ามีสรรพคุณตามนั้นหรือเปล่า ? ซื้อเพื่อที่เขาฉายหนังอย่างเดียวก็มีบ่อย ๆ

    สมัยนั้นจะเป็นการใช้เครื่องอาร์คไฟฟ้า เพื่อให้แสงสว่างส่องไปยังม้วนฟิล์ม แล้วจะมีภาพไปปรากฏขึ้นบนจอ เป็นการพากย์โดยปากเปล่า บรรดานักพากย์ก็มักจะเป็นมนุษย์หลายเสียง พากย์ได้ทั้งเสียงผู้หญิงผู้ชาย ทั้งเด็ก ทั้งคนแก่ แล้วก็พากย์ได้ตลกโปกฮาเข้ากับสถานการณ์บ้านเมืองสมัยนั้นเป็นอย่างมาก ทำเอาหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง แต่ว่าส่วนที่น่ารำคาญก็คือ พอถึงเวลาฟิล์มที่เขาต่อเอาไว้ขาด ทำให้ต้องมาเสียเวลาต่อฟิล์มกันอีก ในระหว่างที่ต่อฟิล์ม ก็เป็นการโฆษณาขายยากันต่อไป..!
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    ในเรื่องความบันเทิงนั้น นอกจากลิเกและหนังที่เป็นยอดฮิตแล้ว ก็ยังมีในเรื่องของลำตัด โด่งดังที่สุดก็ต้องหวังเต๊ะ - แม่ประยูร ถึงเวลาเล่นกันยิ่งดึกก็ยิ่งหยาบโลน ผู้ใหญ่ก็หัวเราะกันเฮ ๆ ๆ เด็ก ๆ ก็ง่วงหัวทิ่มหัวตำ ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่หัวเราะกันเรื่องอะไร ?! กว่าจะรู้เรื่องก็มาตอนโตแล้ว เหล่านี้เป็นต้น

    อีกส่วนหนึ่งก็เป็นหนังสือ ซึ่งมีทั้งหนังสือที่สมัยนี้เรียกว่าพ็อกเก็ตบุ๊ก แล้วก็เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กที่เล่มเล็กจริง ๆ ก็คือสามารถที่จะใส่กระเป๋าเสื้อได้ อีกส่วนหนึ่งก็เป็นนิตยสาร รายเดือนบ้าง รายสัปดาห์บ้าง อย่างเช่นว่านิตยสารศรีสยามรายสัปดาห์ นิตยสารสกุลไทยรายสัปดาห์ นิตยสารบางกอกรายสัปดาห์ นิตยสารเดลิเมล์ ซึ่งเป็นรายสัปดาห์เช่นกัน แต่ใช้คำว่าเดลิเมล์วันจันทร์ เพราะว่าออกทุกวันจันทร์ มาภายหลังทางด้านบางกอกนั้นมีบรรดานักเขียนดัง ๆ ไปชุมนุมรวมกันอยู่ ทำให้โด่งดังมากเป็นพิเศษ เล่มอื่น ๆ ก็เลยเพลา ๆ กันลงไป

    หนังสือสำหรับเด็กก็มีชัยพฤกษ์การ์ตูน มีการ์ตูนหนูจ๋า การ์ตูนเบบี้ การ์ตูนตุ๊กตา ของหนูจ๋านั้นมีคุณจำนูญ เล็กสมทิศ หรือที่เรียกกันว่าอาจุ๋มจิ๋มเป็นคนควบคุมในการผลิต ถ้าหากว่าเป็นการ์ตูนเบบี้ก็อาวัฒน์ หรือว่าคุณวัฒนา เพ็ชรสุวรรณ เป็นผู้ควบคุมการผลิต ส่วนการ์ตูนตุ๊กตานั้นต้องขออภัย เพราะว่าจำชื่อผู้ผลิตไม่ได้ เหมือนกับติดอยู่ที่ริมฝีปาก แต่ตอนนี้
    นึกไม่ออก..!

    เพียงแต่ว่าในแต่ละเล่มนั้นก็มักจะเป็นเรื่องขำขันบ้าง นิยายเรื่องยาวบ้าง แล้วก็เป็นการ์ตูนภาพ ที่โด่งดังที่สุดก็คือสิงห์ดำ ซึ่งเขียนโดย ราช เลอสรวง วาดรูปพระเอกได้หล่อมาก ๆ ทุกคนต่างก็อยากเป็นพระเอกสิงห์ดำ ถึงเวลาเด็ก ๆ เล่นกันก็เอาแขนงไผ่บ้าง ไม้โสนบ้าง มาทำเป็นดาบ ฟันกัน "หัวร้างคางแตก" ไปเลยก็มี เพราะไม่มีใครยอมเป็นผู้ร้าย มีแต่อยากจะเป็นพระเอกสิงห์ดำกันทั้งนั้น..!
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,483
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,720
    ค่าพลัง:
    +26,580
    ส่วนในเรื่องของนิยายพ็อกเก็ตบุ๊กนั้น ที่โด่งดังที่สุดก็คือเล็บครุฑของพนมเทียน ใคร ๆ ก็อยากที่จะเป็นพระเอกชีพ ชูชัย ซึ่งบรรดาพระเอกของเรานั้นก็ล้วนแล้วแต่มีความสามารถหลากหลายไปหมด ต้องบอกว่ามีพระเอกหลายต่อหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น คมน์ สรคุปต์, นิล เหล็กไหล, สิงห์ เมฆพัตร, เฉียบ ชัยณรงค์ ถ้าเป็นสมัยนี้ก็จะมีการเรียกว่าพระรองบ้าง เป็นผู้ช่วยพระเอกบ้าง ดังนั้น..ในสมัยนั้นทุกคนต่างก็อยากที่จะเป็นพระเอก ซึ่งตอนหลังเมื่อสร้างเป็นหนังมี ลือชัย นฤนาทเล่นเป็นชีพ ชูชัย พระเอกในเรื่องเล็บครุฑ จนทำให้บรรดาวัยรุ่นเดินคอเอียงตามลือชัยไปตาม ๆ กัน..!

    หรือว่าภายหลังเรื่องอินทรีแดง ซึ่งเขียนโดย เศก ดุสิตโด่งดังขึ้นมา ใคร ๆ ก็อยากจะเป็นโรม ฤทธิไกร ซึ่งพระเอกมิตร ชัยบัญชา รับบทอินทรีแดงจนโด่งดังทะลุฟ้า พอมาถ่ายทำเรื่องอินทรีทองซึ่งเป็นภาคต่อไป ก็เกิดอุบัติเหตุตกเฮลิคอปเตอร์เสียชีวิตไป เป็นต้น

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าฝ่ายนิยมการเที่ยวกลางคืน ก็จะไปดูหนัง ดูลิเก ดูลำตัด แต่พวกไม่นิยมเที่ยวก็มาอ่านหนังสือกัน โดยเฉพาะตะโกนอ่านไปเพื่อเป็นการข่มบ้านข้าง ๆ ว่าเราอ่านหนังสือได้เก่ง บ้านข้าง ๆ ที่มีพี่สาวน้องสาว พี่ชายน้องชาย ก็ช่วยกันอ่านตะโกนข้ามบ้านมาบ้าง อยู่ในลักษณะที่แข่งขันกัน ทำให้การศึกษาในสมัยนั้นดูแล้วคึกคักเป็นอย่างยิ่ง..!

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...