เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 เมษายน 2025 at 21:14.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ บรรยากาศเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน แถมฝนตกเกือบทุกวัน สรุปว่ากระผม/อาตมภาพไข้ขึ้นทุกวันเหมือนกัน วันนี้มาฟังเรื่อง "เล่าความหลัง" กันต่อ

    ในช่วงตอนเด็กนั้น บางครั้งก็คิดจะนอกลู่นอกทางเหมือนกัน เพราะเห็นว่าผู้ใหญ่เขาทำอะไรแล้วเท่ดี อย่างเช่นว่าการสูบบุหรี่ ซึ่งสมัยนั้นเป็นบุหรี่ยี่ห้อพระจันทร์ หรือว่ารวงข้าว เป็นแบบไม่มีก้นกรอง ยี่ห้อที่ติดหูติดตาเลยก็ พระจันทร์ รวงข้าว เกล็ดทอง รสชาติดุเดือดขนาดไหนไม่รู้ ? รู้แต่ว่าอยากลอง ก็เลยขโมยของพ่อไปตัวหนึ่ง แอบไปสูบอยู่ใต้พุ่มมะนาว ยังไม่ทันจะได้ครึ่งตัวก็เมาน้ำลายยืดขนาดบ้วนไม่ขาดเลย..เข็ดไปตลอดชีวิต..!

    เห็นผู้ใหญ่เขากินน้ำตาลเมา กินเหล้ากัน อยากจะลองดูบ้าง แต่ว่าเหล้าสมัยนั้นก็มีแต่ ๓๕ ดีกรี หรือว่า ๔๐ ดีกรี ซึ่งทางบ้านจะมีการไหว้เจ้าทุกวันพระของจีน ไม่ใช่วันพระไทย ก็จะมีการเทน้ำชาเอาไว้ ๓ ถ้วย เทเหล้าเอาไว้ ๓ ถ้วย แล้วก็จะมีอาเจ็กท่านหนึ่งซึ่งมาอาศัยใบบุญอยู่ที่บ้าน เหมาทุกครั้ง แล้วแกก็เมาหัวทิ่มได้ทุกวัน เป็นเพื่อนพี่ชายคนโตกินเหล้ากัน

    กระผม/อาตภาพเองมีหน้าที่ไปแบกไปหามกลับมาบ้าน เอารถจักรยานขี่ไปประมาณครึ่งกิโลเมตรก็จะถึงตลาด สามารถที่จะนั่งท้ายรถได้ แต่ขี่มาได้ไม่ไกลก็จะร่วงโครมลงไปบนพื้น..! ต้องหยุดรถช่วยกันพยุง ช่วยกันยก กว่าจะขึ้นรถได้ ขี่ไปอีกหน่อยก็ร่วงโครมลงไปอีกแล้ว..! แล้วเป็นเรื่องอัศจรรย์มากว่า พี่ชายคนโตที่กินเหล้าแทนน้ำ ตายตอนอายุ ๙๐ กว่า..! ถ้าแกไม่กินเหล้าหนักขนาดนั้น คาดว่าน่าจะอยู่เป็น ๑๐๐ ปี..!

    คราวนี้พอ
    กระผม/อาตมภาพลองดมกลิ่นดูก็เมาแล้ว..กินไม่ได้ บรรดา "ผู้หวังดี" ต่างก็แนะนำว่า "เบียร์ดีกว่า เบากว่าเยอะเลย" เพราะว่าตอนนั้นนอกจากเหล้าขาวแล้วก็มีเหล้าสีอยู่สองยี่ห้อ ก็คือแม่โขงกับกวางทอง ซึ่งเขาจะมีคำโฆษณาว่า "แม่โขงยอดสุราไทย" กับ "กวางทองน้องแม่โขง" แต่ละขวดจะมีกระดาษแก้วห่ออีกชั้นหนึ่ง แสดงว่าการผลิตไม่ได้มากมายนัก ถึงทำได้ประณีตได้ขนาดนั้น

    คราวนี้ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปก็ได้แค่ ๔๐ ดีกรี เหล้าสีซื้อไม่ไหวเพราะว่าแพง เมื่อเขาชวนให้กินเบียร์ก็ลองดู ปรากฏว่าแค่ได้กลิ่นก็หันหน้าหนีแล้ว..! เนื่องเพราะว่าในการจับปูจับปลา เราต้องมีการถักแหถักอวน ถึงเวลาก็ต้องไปถากเปลือกไม้มาต้มเพื่อย้อมแหย้อมอวน ให้น้ำยางของไม้ช่วยให้ด้ายเหนียวขึ้น โดนน้ำแล้วไม่เปื่อยง่าย พอถึงเวลาทิ้งบรรดาเปลือกไม้ต้มคาปีบเอาไว้ ไม่กี่วันก็เน่าฟองฟอด..กลิ่นตลบไปหมด..! แล้วกลิ่นเบียร์ก็เน่าแบบนั้นแหละ..ไม่รู้กินกันเข้าไปได้อย่างไร ? สรุปก็คือ
    ลองพยายามทำชั่วแล้ว แต่ไม่สำเร็จ เหมือนอย่างกับโดนบังคับอย่างไรก็ไม่รู้ ?!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    เรื่องของการเล่นการพนันทุกอย่างก็เหมือนกัน แค่ไปนั่งในวงพักเดียวก็รู้วิธีเล่นแล้ว คล้าย ๆ กับตอนที่อยู่ชายแดนแล้วเพื่อนสอนให้เล่นหมากรุก พอเพื่อนบอกวิธีการเสร็จ กระดานแรกก็เสมอกัน ก็คือไล่กัน ๖๔ ตา..ไม่มีจน พอกระดานที่ ๒ แดกเพื่อนหมดตูดเลย..! เพียงแต่ว่าเล่นการพนันไม่ได้ เพราะว่ากลัวภาพติดตาที่ว่า ก็คือเห็นโพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด หรือไม่ก็แต้มไฮโลว์ลอยว่อนไปหมด ทำให้ไม่ได้นอน ก็เลยไม่กล้าเล่นการพนัน..!

    ส่วนในเรื่องของการไปวัดก็อาศัยพี่สาว เพราะว่าสมัยก่อนหนุ่ม ๆ สาว ๆ เขาจะนัดพบกันที่วัดในวันพระ ส่วนบรรดาสาว ๆ ก็ต้องมี "ตัวกัน" ไปด้วย ส่วนใหญ่ก็เอาน้องชายไปด้วย แต่ก็อย่างที่กระผม/อาตภาพเคยเล่าให้ฟังว่า กันอย่างไรก็ไม่สำเร็จหรอก เพราะว่าบรรดาผู้ที่ฝากตัวจะเป็นพี่เขยก็มักจะเอาของโน่นของนี่มาให้ ให้ไปกินไกล ๆ ให้ไปเล่นไกล ๆ ไอ้เราก็เป็นคนซื่อตรง รับของของเขาแล้ว เขาบอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้นแหละ..!

    คราวนี้การไปวัดจะมีโอกาสไปตามวัดวาต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง ชนิดที่แม่พาไปหรือว่าพี่สาวพาไป ก็คืองานประจำปีของวัด แล้วถ้าหากว่าเป็นวัดในตัวเมืองนครปฐม อย่างวัดดอนยายหอม หรือว่าวัดกลางบางแก้ว ก็ต้องอาศัยเพื่อนฝูงของพี่สาวถึงจะมีที่นอนพัก ถ้าไม่มีก็ต้องกลับให้ได้ภายในวันเดียว ซึ่งรถยนต์ถ้าหากว่าขึ้นเที่ยวเช้าไปแล้ว ก็ต้องเล็งว่าตอนกลับรถจะกลับเวลาไหน ? ถึงจะอาศัยกลับได้ ก็อย่างที่บอกว่าแค่ ๓๖ กิโลเมตร รถสามารถวิ่งได้เป็นวัน..!

    สมัยนั้นกระผม/อาตภาพเห็นคนขับรถเป็นฮีโร่ โดยเฉพาะที่คุ้นเคยกันก็คือ "เฮียต่าย" เพราะว่าแกมาจีบพี่สาวด้วย สมัยนั้นใครจะมีกล้วย มีอ้อย มีหมู มีไก่ สามารถฝากคนขับรถไปขายในเมืองได้ เขาจะจดเอาไว้ว่าเราฝากอะไรไปบ้าง พอถึงเวลาทางร้านค้าซื้อไปในราคาเท่าไร เขาก็มีลายมือของเถ้าแก่ร้านค้าเขียนมาให้อย่างชัดเจน ของเราก็แค่ "จ่ายค่าระวาง" ให้ ไม่กี่ตังค์เท่านั้น..!

    ดังนั้น..ทุกคนก็จะเห็นว่าไอ้รถตัวถังไม้ หัวแตงโม ถึงเวลาต้องไปหมุนหัวรถเพื่อให้เครื่องติด วิ่งแต๊ก ๆ ๆ ไป ไม่กี่ก้าวก็ต้องจอด ถึงเวลาก็ลงไปช่วยแบกกระบุง แบกตะกร้า ขึ้นหลังคารถ ผูกมัดเป็นอย่างดี ลงมาเดินรอบรถดูว่าคุณลุงคุณป้าขึ้นเรียบร้อยหรือยัง ? แล้วค่อยวิ่งต่อ เป็นแบบนี้ไปตลอดทาง ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงคลั่งตาย เพราะว่า ๓๖ กิโลเมตรนี่ กระผม/อาตภาพเดินครึ่งวันก็ถึงแน่นอนอยู่แล้ว รถยนต์สามารถวิ่งได้ครึ่งวันเหมือนกัน..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    แล้วก็มีเหตุการณ์สำคัญ ๆ เกิดขึ้นในชีวิตช่วงเด็ก ๆ แล้วก็ในช่วงที่เรียนหนังสือ อันดับแรกเลยก็คือปี ๒๕๐๘ อาภัสรา หงสกุลได้เป็นนางงามจักรวาล ดังระเบิดเถิดเทิง..! ขนาดกระผม/อาตภาพอยู่สุดกู่ปลายตะโกนยังได้ข่าวเลย

    พอมาปี ๒๕๐๙ มีการแข่งกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ปรีดา จุลละมณฑล กวาดเหรียญทองเป็นว่าเล่น ชื่อเสียงดังระเบิดเถิดเทิง กลายเป็นขวัญใจคนไทย แกก็อาศัยแข่งกีฬาคว้าเหรียญทองอยู่เรื่อย จนกระทั่งมากวาดเหรียญทองในกีฬาแหลมทองอีก ๗ เหรียญ แล้วถึงได้วางมือไป สมัยก่อนกีฬาซีเกมส์แข่งครั้งแรกที่เมืองไทย ใช้ชื่อว่ากีฬาแหลมทอง ภาษาอังกฤษเรียกว่า SEAP Games จนกระทั่งอีก ๑๘ ปีต่อมา ก็คือ พ.ศ. ๒๕๒๐ ถึงได้เปลี่ยนเป็นซีเกมส์

    พอมาปี ๒๕๑๑ ช่วงนั้นจำได้ว่าเรียนอยู่ชั้นประถม น่าจะปีที่ ๒ กำลังจะขึ้นปีที่ ๓ ราชาเพลงลูกทุ่ง สุรพล สมบัติเจริญ โดนยิงตายไม่ห่างบ้านเท่าไร ก็คือที่วัดหนองปลาไหล อำเภอกำแพงแสน ในชีวิตก็เพิ่งจะเห็นว่าคนตายแล้วเขาไปกันมืดฟ้ามัวดินขนาดนั้น..! ถึงขนาดเรียกร้องให้เขาชูศพให้ดูเพื่อที่จะได้มั่นใจให้ตายแล้วจริง ๆ ขนาดนั้นก็ยังมีข่าวมีคราวว่า "สุรพลยังไม่ตาย ตอนนี้หนีไปบวชอยู่ที่อินเดีย พระอาจารย์ถอดจิตมาช่วยไว้..!" ยุ่งไปหมด..+

    พอมาวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๑๒ ก็เรื่องใหญ่สะท้านโลก คือสหรัฐอเมริกาส่งยานอพอลโล ๑๑ ไปเหยียบดวงจันทร์ ครูพานักเรียนทั้งโรงเรียนไปดูโทรทัศน์เครื่องเดียวของหมู่บ้านที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน เป็นเครื่องขาวดำ เห็นนีล อาร์มสตรอง ก้าวลงจากยานลูน่าร์ โมดุล เหยียบดวงจันทร์เป็นคนแรก หลังจากปักธงแล้ว น่าจะเป็นเอ็ดวิน อัลดริน ตามไปเป็นคนที่สอง ช่วยกันเก็บตัวอย่างต่าง ๆ ดูเขาเดินเหมือนอย่างกับกระโดดลอย ๆ พิกล มาตอนหลังถึงได้รู้ว่า แรงดึงดูดของดวงจันทร์ต่ำกว่าโลกมาก ถ้าหากว่าเรากระโดดแรง ๆ อาจจะลอยหายไปเลย..! โดยที่มีผู้ขับยานอีกคนหนึ่งก็คือไมเคิล คอลลินส์ รออยู่ในอวกาศ

    ที่จำแม่นเพราะว่าสมัยนั้นครูเขาบังคับให้ท่อง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลสำคัญของโลก หรือว่าบุคคลสำคัญของไทย อย่างเช่นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ลินดอน บี. จอห์นสัน ต่อด้วยริชาร์ด นิกสัน มาต่อด้วยเจอรัลด์ ฟอร์ด โดนบังคับท่องทุกคน เลขาธิการสหประชาชาติคือท่านอูต่าน แต่คนไทยไปอ่านตามภาษาอังกฤษว่าอูถ่าน คำว่า "ต่าน" ก็คือ "ล้าน"

    ไล่ตั้งแต่ ตะยา (ร้อย) ตะเทา (พัน) ตะเต๊า (หมื่น) ตะเต็ง (แสน) ตะต่าน (ล้าน) เพราะฉะนั้น..ตันฉ่วยที่เราอ่านกัน ความจริงคือ "ต่านชุย" แปลว่า "ล้านทอง"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    พอมาปี ๒๕๑๓ เรื่องใหญ่อีกแล้ว คราวนี้ดาราตกเครื่องบินตายที่พัทยา มิตร ชัยบัญชา ไปถ่ายหนังเรื่อง "อินทรีทอง" คนแห่ไปมืดฟ้ามัวดินเหมือนเดิม เขาเอาศพไปตั้งที่วัดแค นางเลิ้ง ซึ่งบ้านยายก็อยู่ที่สามแยกไฟฉาย จะไปก็ได้ แต่ไม่ไปหรอก กลัวคนเหยียบตาย..!

    เรื่องทางการเมืองใหญ่ ๆ ก็ยังมี อย่างเช่นว่า ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่มี "วันมหาวิปโยค" องค์กรนักศึกษาประท้วงรัฐบาล โดนเข่นฆ่าตายไปมากมาย จนกระทั่งท้ายที่สุด รัฐบาลก็ดื้ออยู่ไม่ไหว ต้องหนีออกนอกประเทศไป ครั้นพอกลับเข้ามา อาศัยว่าบวชเณรมาหวังที่จะให้คนอโหสิกรรม แต่เขาจำชนิด "แค้นฝังหุ่น" ไปแล้ว ก็เลยเกิดเหตุ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ขึ้นมาอีก..!

    ตอน ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ กระผม/อาตภาพจบชั้น
    มัธยมศึกษาปีที่ ๓ ได้ไม่นาน รู้แต่ว่าตอน ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จะขออนุญาตครูไปประท้วงด้วย ครูใหญ่คือนายไพบูลย์ ภู่พงศ์พันธุ์ สั่งปิดโรงเรียนเดี๋ยวนั้นเลย พอปิดโรงเรียน บรรดา "เด็กเรียน" ก็กลับหมด "เด็กกิจกรรม" เหลือไม่กี่คน มองซ้าย..มองขวา..กูกลับด้วย..! เป็นการแก้ปัญหาที่เด็ดขาดมาก..!

    ยังชื่นชมว่าครูบาอาจารย์สมัยนั้นท่านทำอะไรทำจริง แล้วก็อ่านเกมขาดมาก เพราะว่าสมัยนั้นจะว่าไปแล้ว พวกเด็กเรียนส่วนใหญ่ก็มีเชื้อสายจีน เด็กไทยทำไมเรียนเก่งสู้เด็กจีนไม่ได้ก็ไม่รู้ ? โดยเฉพาะวันตรุษจีน ลูกจีนไปครบทุกคน ลูกไทยขาดเกลี้ยง..! ครูบาอาจารย์มองหน้าเสร็จแล้วก็ เอ้า..กลับไปเถอะ ไอ้เพื่อนไทยตั้งค่อนห้องไม่อยู่สักคน ก็เลยกลายเป็นอะไรที่พวกเราเองขำก็ขำ ตรุษจีนแท้ ๆ ลูกจีนมาเรียนครบทุกคน ลูกไทยก็ขาดเกลี้ยงทุกคนเหมือนกัน..!

    บรรดาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เด็ก ๆ เขามีการเรียนวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ต้องโดนบังคับท่อง บังคับวาดแผนที่ประเทศไทย วาดแผนที่ทวีปเอเซีย วาดแผนที่โลก เด็กสมัยนั้นพูดถึงประเทศไหนจะรู้หมดว่าอยู่มุมไหนของโลก แต่เด็กสมัยนี้ไม่รู้เรื่อง จะสงสารเขาดี หรือจะสงสารเราดี ? ก็คือสงสารเราที่เรียนหนักเกินไป หรือว่าสงสารเขาที่เรียนน้อยเกินไป ?!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    เพราะว่าตอนนั้น พอเข้าชั้นประถมปีที่ ๕ เฉพาะภาษาอังกฤษอย่างเดียวเรียน ๔ เล่ม มี Grammar ก็คือเรียนไวยากรณ์ Standard เรียนการออกเสียงแบบมาตรฐานโลก Oxford เป็นหลักสูตรของประเทศอังกฤษเขา แล้วก็ Living เป็นการเรียนเพื่อใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน เรียนชั้นประถมปีที่ ๕ ภาษาอังกฤษวิชาเดียวเรียนถึง ๔ เล่ม..! แล้วก็ต้องใช้ปากกาหมึกซึมในการเขียน เพราะว่าสามารถที่จะเขียนตัวหนังสือ ที่สมัยก่อนเขาเรียกว่า "ตัวเขียน" จะมี ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก ตัวเขียนใหญ่ ตัวเขียนเล็ก

    ตัวเขียนใหญ่ ตัวเขียนเล็ก จะเขียนได้สวยมาก ๆ ก็ต้องเป็น "ปากกาคอแร้ง" แต่ยุคนั้นเริ่มพัฒนาเป็นปากกาหมึกซึมแล้ว ยี่ห้อที่ดีเลิศประเสริฐศรีที่สุดก็คือ "ปากกาเชฟเฟอร์" ของเยอรมัน ใช้กันยันชั่วลูกชั่วหลานก็ไม่พัง ถึงเวลาจะเปิดกระป๋องนมข้น ซึ่งสมัยนั้นก็คือ "นมข้นหวานตราแหม่มทูนหัว" ความจริงเขาเป็นรูปผู้หญิงฝรั่ง แล้วก็มีถังนมอยู่บนศีรษะ เขาก็เลยเรียกง่าย ๆ ว่า "ตราแหม่มทูนหัว" กับ "ตรานกอินทรี" หาอะไรไม่ได้ก็ปากกาเชฟเฟอร์นั่นแหละ กระแทกปั้กเข้าไป ซ้ายรูหนึ่ง ขวารูหนึ่ง ก็เทนมข้นออกมาได้แล้ว ปากกาก็เอาไปเขียนใหม่ ปากกาหมึกซึมรุ่นหลัง ๆ ตกพื้นหน่อยเดียว "ปากแตก" เขียนไม่ได้แล้ว..!

    เพราะว่า
    สมัยก่อนการพาณิชย์ทุกอย่าง เขาทำเอาชื่อเสียง ไม่ได้ทำเอาเพื่อการค้าขาย พูดง่าย ๆ ว่าถ้าชื่อเสียงดี คุณกินไปได้ตลอดชาติ สมัยก่อนนั้นถ้าจักรเย็บผ้าต้องยี่ห้อซิงเกอร์ ถ้าวิทยุต้องยี่ห้อธานินทร์ เคยเห็นกันหรือเปล่า ? ถ้าหากว่ารถจักรยานก็ต้องตราจระเข้ ตาย ๆ ๆ หลวงพ่อไปอยู่โลกไหนมา ? ทำไมถึงต่างกับโลกผมขนาดนี้ ? เอาไว้เดี๋ยวมีโอกาสแล้วค่อยมาเล่าให้ฟังต่อ

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...