ทำไมดารานักแสดงอนาคตบั้นปลายถึงมีอันเป็นไป กรรมของดารานักแสดง

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย โทรจิต, 10 กันยายน 2010.

  1. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    ทำไมดารานักแสดง อนาคตบั้นปลายถึงมีอันเป็นไป

    o8uh2ee99wCDTgEXO3P-o.jpg


    ในครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงห้ามมิให้หัวหน้านักแสดงนามว่าตาลปุฎะ ถามคำถามถึงอนาคตตนเองว่าตายแล้วจะไปเกิดในสุคติหรือทุคติถึง 3 ครั้งแต่นายตาลปุฎะก็คะยั้นคะยอ จะเอาคำตอบให้ได้ พระองค์จึงตอบว่า


    “ดูก่อนหัวหน้านักแสดง แท้จริงเราไม่ได้อนุญาตให้ท่านถามปัญหานี้ เรากล่าวว่า อย่าเลย หัวหน้านักแสดง เรื่องนี้หยุดไว้เสียเถิด อย่าถามปัญหานี้แก่เราเลย แต่เอาเถอะเราจะตอบปัญหาแก่ท่าน”


    “ดูก่อนหัวหน้านักแสดง สัตว์ทั้งหลายยังไม่ปราศจากราคะ ถูกราคะผูกมัดไว้...ยังไม่ปราศจากโทสะ ถูกโทสะผูกมัดไว้…….ยังไม่ปราศจากโมหะ ถูกโมหะผูกมัดไว้อยู่ก่อนแล้ว นักแสดงยิ่งนำเข้ามาซึ่งส่งเสริมราคะ……..โทสะ……โมหะ แก่ชนเหล่านั้นในท่ามกลางเวที ท่ามกลางโรงมหรสพ ให้มีราคะ โทสะ โมหะ มากยิ่งขึ้น

    บุคคลนั้นตนเองก็ประมาทมัวเมาอยู่แล้ว ยังทำให้คนอื่นประมาทมัวเมาอีก เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกทำลาย ย่อมเกิดในนรกชื่อปหาส
    …….”



    *ปหาสะคือนรกขุมหนึ่งในอเวจี

    ท่านพระอาจารย์สมภพ โชติปัญโญท่านแสดงธรรมเทศนาว่าที่ไปของบรรดานักร้อง นักแสดงและดาราทั้งซุปเปอร์สตาร์
    รวมทั้งนักระบำจ้ำบ๊ะทั้งหลายไว้อย่างน่ากลัวเพราะที่ไปของพวกเขาเหล่านั้นคือนรก...ดังพระสูตรที่อ้างอิงข้างต้น



    (มีนักแสดงคนหนึ่งรู้จักกันได้ให้ความเห็นส่วนตัว เพื่อบรรเทากรรมดังกล่าว หลังจากได้รับเงินค่าแสดงแล้ว ควรแบ่งส่วนหนึ่ง ทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ที่อาจได้รับผลกระทบจากการแสดงของเราหรือเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จะบรรเทาได้มากน้อยเพียงใด ยังดีกว่าประมาทไม่ทำเลยนะ )


    Credit : Oknation
     
  2. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ดารานั้นมีทั้งดีและไม่ดี....อย่างหนึ่งถ้าดาราทำไม่ดี...คนอื่นเห็นโดยเฉพาะวัยรุ่นก็จะทำตาม....โดยคิดว่าสิ่งที่ทำนั้นอาจไม่ผิด....เพราะมีตัวอย่าง....อันนี้เป็นเหตุต้นของกรรม....

    ยกตัวอย่าง ดาราแย่งแฟนชาวบ้าน เป็นชู้ นุ่งน้อยห่มน้อย ดื่มเหล้า ควงกิ๊ก เปลื่ยนแฟนเป็นว่าเล่น ควงคนนั้นทิ้งคนนี้.....ว่าไป.......ใช่ไมครับ.....

    แต่ถ้าดาราคนนั้น.....ทำดี.....และเป็นตัวอย่างแก่สังคม....เช่น ช่วยเหลือสังคม เข้าวัดปฏิบัติธรรม ช่วยเหลือเด็ก ลูกกตัญญู อันนั้นก็จะเป็นสิ่งที่เป็นบุญมหาศาลเหมือนกัน......แต่อย่างที่ว่า....แบบใหนที่จะไปได้มากกว่ากันหละครับ.....ส่วนใหญ่ก็ไปแบบแรกทั้งนั้น...
     
  3. 2499

    2499 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    450
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,033
    ในพระไตรปิฏกบอกไว้ว่า

    อาชีพที่ควรห้ามเด็ดขาดคือ
    1.ค้าสุรา
    2.ค้าอาวุธ
    3.ค้ายาพิษ
    4.ค้าเนื้อสด (คน)
    5.ค้าสัตว์

    อาชีพที่ควรละเว้นคือ
    1.พวกเต้นกินรำกิน (อาชีพที่สร้างความบรรเทิงทั้งหลาย) เพราะไปมอมเมาผู้อื่นให้ลุ่มหลง

    *อาชีพที่กล่าวมาทั้งหมด หากใครทำ ต้องไปนรกครับ


    --------------------------------------------



    ดารา ถ้าเกิดไม่เคยทำบุญอย่างอื่นตกนรกหมด เพราะทำให้คนยึดติด


    ถาม : เมื่อตะกี้ผมเล่าให้น้องเขาฟังครับ เรื่องดารา ถ้าเกิดไม่เคยทำบุญอย่างอื่นตกนรกหมด เพราะทำให้คนยึดติดก็รู้สึกเอ๊ะ ในเมื่อดารามันทำสัมมาอาชีวะแล้วทำไมต้องไปตกนรกด้วยในเมื่อเถ้าเขาไม่ทำเขาก็ไม่มีกิน ?

    ตอบ : มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ คือ สิ่งที่เขาทำมันค้านกับธรรมะที่แท้จริง เพราะว่าสิ่งที่เขาทำมันเป็นมายา มันทำให้คนหลงยึดติดอยู่

    สังเกตไหมล่ะว่านางอิจฉาเข้าไปในตลาดดีไม่ดีเจอเปลือกทุเรียนก็รองเท้าขว้างเอานั่นน่ะ คนมันยึดขนาดนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ละ ไอ้พวกนี้ทำให้ยึด มันตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิโทษของมิจฉาทิฏฐินี่มันหนักมากนะ อเวจีทีเดียว น่าสงสารมากเลย

    ในพระไตรปิฎกมีอยู่คือ พระตาลปุตตคามินีเถระ ท่านเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงมาก ได้รับการอบรมมาจากวงการนักแสดงเขาบอกไว้ว่า บุคคลที่สร้างความรื่นเริงให้แก่ผู้อื่นจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็คือว่าจะได้ไปเกิดที่นั่น ภาษาบาลีฟังยากมันต้องแปลเป็นไทยอีกทีหนึ่ง ท่านเองท่านก็ยึดมั่นในจุดนั้นมา

    คราวนี้พอไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ยินมาว่าสมณโคดมทราบเรื่องทุกอย่าง ได้โอกาสก็เข้าไปกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า สิ่งที่ท่านทำจะให้ท่านได้เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จริงไหม พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ดูก่อน มายาการ อย่าเพิ่งให้ิเราพยากรณ์เลย ท่านเองตื้อถามถึง ๓ วาระ พอถึงครั้งที่ ๓ พระพุทธเจ้าบอกว่าลงอเวจีมหานรก คราวนี้ดีตรงที่ว่าท่านเชื่อ นั่งร้องไห้เลยถามว่าทำยังไงถึงจะรอดได้

    พระพุทธเจ้าบอกว่าบวชแล้วปฏิบัติ ไม่นานท่านก็เป็นพระอรหันต์รอดไป ถ้าไม่เชื่อก็ซวย คราวนี้มันมีตัวอย่างอยู่ ดาราวัยรุ่นธรรม์โทณวนิกที่ตาย ดูคนไปงานศพมันกี่หมื่น ถ่ายหนังสือพิมพ์ออกมาเห็นแล้วตกใจมันทำให้คนติดได้ขนาดนั้น แล้วดาราเพลงร็อคของญี่ปุ่น มันมากันที คนแห่กันไปดอนเมืองรถติดบรรลัยวายวอดเลย คนติดขนาดไหน แต่มันเป็นการยึดในทางที่ผิด จริง ๆ แล้วการปฏิบัติมันต้องปล่อย ยึดเมื่อไหร่ก็อยู่แค่นั้นแหละ

    ถาม : แต่มันเป็นเรื่องทางโลกนะครับ ไม่มีก็ไม่ได้

    ตอบ : ก็มันไม่มีก็ได้ถ้าหากว่าคนเราพอใจมีธรรมะประกอบอยู่แต่ บังเอิญว่าคนเรามันไม่สนใจจะหันมาหาธรรมะ มันสนใจแต่ทางด้านโน้นจริง ๆ แล้วพวกนี้น่าสงสารมาก การแสดงแสง สี เสียง อะไรต่าง ๆ ก็ดี ที่มันเกิดขึ้นมาเพื่อกระตุ้นในเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหล่านี้มันทำให้ปีติเกิดขึ้นในใจชั่วคราว ทำให้จิตมันฟูขึ้นมา ทำให้รู้สึกว่ามีความสุข แต่มันเป็นความสุขที่เกิดจากการกระตุ้นภายนอก มันไม่เหมือนกับการรักษาศีลเจิรญภาวนาที่เป็นความสุข ที่เป็นปีติที่เกิดขึ้นจากภายใน มันอยู่ยั้งยืนยงกว่าเพราะมันเพาะสร้างขึ้นมาเอง

    แต่ว่าอันโน้นมันเกิดจากการกระตุ้นภายนอก

    เมื่อขาดสิ่งกระตุ้นนั้นมันก็ขาดไป พวกนี้ก็จะเกิดอาการทุกข์ขึ้นมา ทุกข์ตรงที่ว่า เอ๊ะ ทำไมไอ้ความสุขที่เคยมีมันหายไปก็ตะเกียกตะกายไปหาอีก ก็ต้องไปกินเหล้าเมายา ไปเต้นรำ ไปเข้าคลับ เข้าบาร์กัน เข้าโรงหนัง ฟังเพลง ไปกรี๊ดกันมันถึงจะมันส์

    ถาม : พวกนักร้องก็เหมือนกันเหรอครับ

    ตอบ : เหมือนกันหมด พวกนี้ส่วนใหญ่แล้วทำให้คนยึดติด ถ้าไม่เคยทำบุญอื่นมาในลักษณะที่เรียกว่ากำลังใจทรงตัวน่ะนะ โอกาสรอดอเวจีน้อยเต็มที น่าสงสาร

    ถาม : อย่างนี้พวกนักฟุตบลมันก็เกี่ยวเนื่องไหมครับ ?

    ตอบ : มันก็มีสิทธิ์เหมือนกัน

    ถาม : อย่างพวกแมนยู ลิเวอร์พูล อาร์เซนอล

    ตอบ : พวกนี้จริง ๆ มันไม่น่าโทษเขานะไอ้คนระยำดันไปติด

    ถาม : เลยพาเขาซวยไปด้วย

    ตอบ : ต้องดูเจตนาของเขา ถ้าเจตนาของเขาคือว่าวางลีลาจะมีท่าแปลก ๆ อะไรออกมาเพื่อดึงดูดใจคน ไอ้นี่เจตนาชัดเลย โทษ ๑๐๐%ถ้าหากว่าเป็นอาชีพของตัวเองทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดคนอื่นจะเป็นอย่างไรเราไม่เกี่ยว นี่โอกาสรอดยังมีเยอะ คราวนี้แบบแรกมันจะเยอะ เป็นแบบแรกซะเกือบหมด

    ถาม : ตายแน่ เดวิด เบคแฮม (หัวเราะ) โห ทั้งสามีภรรยาเลย

    ตอบ : เอาให้ถึงเวลาก็ไปดูแล้วกัน ถ้าคนไปติดเขาเองน่ะจริง ๆ แล้ว โทษเขาไม่มี แต่ว่าพวกนี้ส่วนใหญ่เจตนาหาจุดเด่นขึ้นมาเพื่อดึงดูดไง มันช่วยได้เยอะชื่อเสียงของตัวเองก็ได้เงินทองก็มากขึ้น

    ถาม : คือว่าถ้าเป็นดาราก็คิดซะว่าเราทำหน้าที่ของเรา

    ตอบ : คือทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดไป แล้วถึงเวลาเรื่องของบุญ ของบาปของอะไรบาปเราก็ละบุญเราก็ทำให้จิตใจมันเกาะบุญมากกว่าบาป โอกาสรอดมันก็มี

    ถาม : เอาใจเป็นที่ตั้งเหรอครับ ?

    ตอบ : ทุกอย่างมันเกิดที่ใจ มโนปุพพังคมาธัมมา



    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ เดือนพฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๔๔



    ที่มา : http://www.watthakhanun.com




    http://palungjit.org/threads/ดารา-ถ้าเกิดไม่เคยทำบุญอย่างอื่นตกนรกหมด-เพราะทำให้คนยึดติด.12135/
     
  4. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    ขออนุโมทนา

    สาธุ กับสองกระทู้ตอบข้างบน

    [​IMG]
     
  5. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ผมคิดว่านะครับ

    น่าจะเป็นกรรมที่ทำให้อารมณ์คนปั่นป่วนไงครับ

    หนัง-ภาพยนต์ไทยทุกเรื่อง มีใส่ร้าย มีการใช้กำลัง มีคำหยาบ มีการกระตุ้นตันหา , กิเลส

    ทำให้อารมณ์คนดูปั่นป่วน ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่

    ส่งผลในระยะไม่ยาว ( ^_^" ) กับการดำเนินชีวิตในครอบครัว ในสังคม

    NOTE : สังเกตุกลุ่มคนที่ติดละครเป็นชีวิตจิตใจสิครับ อารมณ์แปรปรวนทุกคน
     
  6. กุลวัชร

    กุลวัชร ทีมผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    388
    ค่าพลัง:
    +2,229
    และถ้าอาชีพปกติคือ รับราชการ และก็ปฏิบัติธรรมด้วย

    แต่มีใจรักในการร้องเพลงมาก ก็เลย ไปเป็นนักร้องด้วย แต่เป็นงานเสิรม ได้รายได้ด้วย

    ไม่เดือดร้อนการเงิน แต่ใจชอบ และรักที่จะเป็นศิลปิน แบบนี้เป็นไรไหมครับ
     
  7. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    คนส่วนใหญ่จะชอบตั้งคำถามว่า

    ทำไมดาราต่างประเทศเขาถึงมีชื่อเสียงนัก

    โด่งดัง ชื่อเสียงเลื่องลือระบือนาม ทั้งที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนา

    ผมขอยกตัวอย่าง ดาราดังระดับดาวค้างฟ้าของโลก

    ตอนพวกเขามีชีวิตอยู่ ถูกยกย่องให้เป็นราชา เป็นดาวค้างฟ้า

    แต่พอถึงบั้นปลายชีวิต จะเห็นว่าไม่ได้สวยหรูเหมือนตอนมีชื่อเสียงเลย

    จบด้วย การหย่าร้าง หนี้สิน ยาเสพติด และทุกขเวทนา

    เอลวิส เพลชลีย์

    [​IMG]

    มาริลีน มอนโร

    [​IMG]


    ไมเคิล แจ็คสัน

    [​IMG]




    การที่มีชื่อเสียงโด่งดัง มีเงินทอง ผู้คนนับหน้าถือตา

    ก็ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตปราศจากทุกข์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2010
  8. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    แล้วคนดูการแสดงจะบาปด้วยไหม?
     
  9. ratrat

    ratrat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    169
    ค่าพลัง:
    +479
    อนุโมทนา อาชีพนักแสดง ลักษณะส่วนใหญ่ จะทำให้คนดู หลงไปใน
    ราคะ โทษะ โมหะ จริงอยู่หากคนดูรู้จักแยกแยะว่า อะรไคืออะไร ก็
    พอเอาตัวรอดไปได้ไม่เป็นเยื่อของกิเลส แต่อย่างว่า ส่วนใหญ่จะเผลอไป
    ทำอารมณ์ ร่วม ผสมโรง ไปกับบทบาทตัวละคร กว่าจะรู้ตัว ก็ถูก
    กิเลสมาร มันเอาไปเป็นพวกเสียแล้ว อย่าหลวมตัวให้มันอีกนะคะ
     
  10. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    ขึ้นอยู่กับการกระทำ(กรรม)ของเราอีกแหละครับ

    หากเราดูพระเอกนางเอก แล้วนำสิ่งที่ดีจากตัวละครไปปฏิบัติตาม

    เช่น ซื่อสัตย์สุจริต ช่วยเหลือผู้อื่น กตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ก็ไม่บาปแถมคนแสดงก็ได้บุญด้วย ที่ทำให้ผู้อื่นเป็นคนดีได้

    แต่ถ้าถ้าเรานำในด้านที่ไม่ดีไปปฏิบัติ เช่นยึดมั่นในความรัก ท้อแท้หดหู่เมื่อไม่สมหวังในสิ่งต่างๆ

    ฉากเหล่านี้พระเอกนางเอกมักแสดงอาการร้องให้เสียใจ ซึ่งมีมากในละครสมัยนี้

    หากมีคนนำไปปฏิบัติ ก็ก่อให้เกิดบาปแก่ผู้ที่แสดง และผู้ที่ปฏิบัติตามครับ
     
  11. Nat_usp

    Nat_usp เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    676
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,394
    ผมยกตัวอย่างสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงนะครับตอนนั้นลูกสาวผมอายุเกือบๆ 3 ขวบ

    วันนึงผมกลับไปถึงบ้าน ลูกสาวผมก็เดินมาหา มาเล่นกับผม

    สักพักลูกสาวพูดกับผมว่า Here ( สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง )

    ผมกับภรรยาก็ งง ...........

    ผมถามลูกสาวซ้ำว่า " ด่าป๋าหรือลูก "

    ลูกสาวผมก็ทำท่างงๆแล้วก็พยักหน้า

    แล้วผมกับภรรยาก็สอนลูกสาว ( ไม่ได้ตี ไม่ได้ลงไม้ลงมือ ไม่ได้โกรธลูกสาว )

    หมายเหตุ : ผมหาสาเหตุอยู่ ไม่ถึง 2 ชั่วโมง ปรากฎว่า ลูกสาวผมจำคำพูดนี้มาจาก VCD หนังไทยเรื่องหนึ่ง ( ซึ่งผมเปิดให้ดูเอง -_-" ) "หนังตลกแต่ลืมไปว่า มีคำหยาบทั้งเรื่อง"

    เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผมนะครับ ผมไม่ได้โทษสิ่งใดแม้กระทั่งหนังเรื่องนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2010
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ผู้ดูละครให้ฉลาดต้องรู้จักดูอย่างพิจารณา....ดูละครต้องย้อนดูตัว....

    มนุษย์ในโลกนี้ก็เหมือนในละครนั่นหละครับ....ดูแล้วก็ต้องรู้ตัว.....ดู รัก โลภ โกรธ หลง เศร้าใจ ดีใจ พอใจ ทุกข์ใจ...ความเป็นทุกข์...ไม่เที่ยง สุดท้ายอนัตตา อย่างดาราที่เคยดังแต่ก่อนเป็นนางเอก เป็นพระเอก...ไม่นานเปลื่ยนเป็นพ่อแม่นางเอก...แล้วก็จากไปจากวงการ.....อย่างพระเอกหรือนางเอกหนังเกาหลี สุดท้ายเป็นโรคหัวใจตายหรืออะไรก็แล้วแต่ที่ตายจากไป(ผู้ที่ลืมสติไปก็จะเศร้าไปกับตัวละคร..สงสารเขา..น้ำตาท้วมจอ...ซึ่งจริงๆแล้วละครมันฟ้องโลกกำลังบอกว่าคุณอย่าได้ประมาทในชีวิต...ไม่แน่คุณหรือใครใกล้ตัวอาจเป็นอย่างนั้นก็ได้..).


    ความจริงมันมีหมด.....มันแสดงออกถึงโลกของเรา....ในมุมมองปกติที่เราปกติอาจไม่เห็น......ถ้าดูอย่างพิจารณา ยิ่งดูยิ่งฉลาด.......แต่ถ้าดูอย่างไม่พิจารณาจนตามกิเลสไปกับตัวละคร...ลืมสติ....ยิ่งดูก็ยึ่งจมลึกไปเรื่อยๆ.....

    โลกนี้คือโรงละครโรงหนึ่ง.....คุณลองคิดดูถ้าสมมุติว่าการดำเนินชีวิตของคุณ...เป็นคนหนึ่งในละคร...สมมุติว่าเป็นพระเอกหรือนางเอกก็ได้.....แล้วถ้าคุณเป็นคนมองอยู่(สมมุติว่าคุณเป็นคนมองอยู่นอกจอ)....คุณจะเลือกเป็นพระเอกหรือนางเอกแบบใหน.....

    แล้วจะมีสักกี่คนที่จะดูละครอย่างมีปัญญา.....แม้ส่วนใหญ่จะไปตามกิเลส...แต่เพียงแค่สักวินาทีหนึ่งเพื่อปัญญาก็มีค่ามหาศาล....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2010
  13. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,647
    ดารามีส่วนใหญ่มีความเป็นปกติของจิต คือ ต้องรักษาร่างกาย เสื้อผ้า ภาพลักษณ์ ภาพพจน์ ดิ้นรนไขว่ขว้า ตลอดจนสร้างชื่อเสียงให้ตนเองโดยวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะดีหรือไม่ แล้วต้องบวกกับกิเลส ตัญหา ทั่วไปอีก......กระทำเพื่อให้มีเรทติ่ง....เป็นความยึดมั่นในตัวตนทั้งกายและใจ...ผูกมัดไว้.....อย่างเป็นปกติ....แล้วถ้าจิตดับไปในตัวแรกเป็นจิตเช่นนี้จะไปใหนก่อนครับ...

    ส่วนน้อยที่จะตีออกจากกรอบนี้....พูดถึงสภาพจิตนะ....

    จริงๆแล้วอาชีพใหนก็มีสิทธิลงนรกได้หมด..ทุกถ้วนหน้าเสมอกัน...ถ้าไม่มีศีล ๕..ไม่ใช่เฉพาะดาราเท่านั้น......ไปว่าเขาลงนรก....เดี๋ยวคนว่าลงไปก่อน...เพราะคนเป็นดาราเขาทำบุญเป็นปกติ.......:boo:
     
  14. yoopee_up

    yoopee_up เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +196
    ผมก็เคยฟังเทปหลวงปู่ฤาษีลิงดำ ท่านเล่าให้ฟังว่าเวลานักแสดงอยู่หน้าเวทีแสดงอาการอีกแบบหนึ่งแล้วหลังเวทีเราจะรู้ไหมว่าเขาแสดงอาการอย่างไรให้เราพิจารณาเอาครับ
    ไม่ควรไปยึดติดจริงๆเพราะตัวเราไปหลงในอารมณ์นั้นตามไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปรุงเเต่งจิตไม่เป็นเหตุแห่งการดับทุกข์(แต่ยังไงเราก็รักษาศีล สมาธิ ให้ครบถ้วนนะครับอันไหนการแสดงไม่ดีเราก็ไม่จำเป็นต้องคล้อยตามแต่เราต้องรู้จักแยกแยะดีชั่วครับ)
    ทั้งนี้ทั้งนั้นอาชีพนี้เปรียบเสมือนดาบ2คม แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็น1มีคุณอนันต์ไม่มีโทษ

    ถ้ากระผมกล่าวผิดอะไรก็ขอขมามาใน ณ ที่นี้ด้วยครับ
    เพราะว่าการตอบคำถามในที่นี้ก็เหมือนกันถ้าคนเข้าใจผิดก็อาจมีโทษได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กันยายน 2010
  15. ผู้มีสติ1

    ผู้มีสติ1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    750
    ค่าพลัง:
    +3,637
    เล่าสู่กันฟังนะครับ ฟังแล้ว ก็แล้วไป อย่าเก็บไปคิด........

    คิดเสียว่าฟังเล่นเพลินๆนะครับ แต่ถ้าอยากพิสูจน์ก็ต้องรักษาศีล ฝึกนั่งสมาธิเอานะ

    เรื่องมีอยู่ว่า ผมรู้จักกับบุคคลท่านหนึ่ง เป็นผู้หญิง หน้าตาดี ผิวพรรณดี รูปลักษะดี

    แต่ที่เหนือไปกว่านั้นก็คือใจดี ท่านผู้นี้แต่เดิมก่อนที่จะมาฝึกรักษาศีล ฝึกนั่งสมาธิ

    ก็มีความชอบ ชื่นชมนิยมในตัว เอวิส เพลชลี่ย์ จะเรียกว่าเป็นแฟนคลับก็ว่าได้

    พอหลังจากฝึกสมาธิ เผอิญทำได้ดี จิตใจเข้าถึงธรรม ได้ทิพย์จักขุญาณแจ่มใส

    พระท่านบอกว่า เป็นของเก่าติดตัวมา พอพระท่านแนะนำ ก็เหมือนกับเคราะสนิมไห้

    พอสนิมหลุดออก ของเดิมแท้ก็ปรากฏแสดงตนออกมา

    ตัวท่านมีความสนใจในตัว เอวิส เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พอนั่งสาธิจิตเข้าถึงระดับ

    ท่านก็อยากรู้ว่าเอวิส ตายแล้วไปไหน? แต่ภาพที่ปรากฏ เอวิสไม่อยู่บนได้สวรรค์ หรือไปสู่

    สุคติโลก แต่กลับลงไปอยู่ข้างล่าง ในโลกนรก หรือยมโลก ได้รับความทรามาน เลือดโทรมกาย

    ตัวซีดเผือก ปีนต้นงิ้ว ซึ้งมีหนามสปิงของต้นงิ้วแทงทะลุ

    ทะลวงจากอกด้านหน้า ทะลุออกด้านหลัง ท่านก็ตกใจ คิดไม่ถึง มันตรงข้ามกับใจ

    ที่คิดไว้แต่แรก

    ก็ได้ถามท่านผู้ใหญ่ในยมโลกว่า ทำไมเป็นแบบนี้ เอวิสเป็นคนของประชาชน

    คนนิยม มีแต่คนชื่นชอบ ความดีก็ทำ เธอบอกว่า เคยอ่านนหนังสือจากนิตยสาร

    times ประวัติของเอวิส มีนิโกร คู่ผัวเมีย ยืนมองรถโรสลอยด์ด้วยความอยากได้

    เอวิส ยังซื้อไห้เฉยเลยดูสิ เอวิสยังทำ

    แต่คำตอบที่ได้รับ จากโลกเบื้อล่างก็คือ ทำบุญเอาหน้า ใจจริงอยากช่วยเหลือคนจริงๆไม่มี

    แต่อยากโชว์สื่อ อยากแสดง มีความแอบแฝงในดวงจิต แล้วก็มัวเมาในโลกีย์ ผู้หญิง

    เขามาเยอะมาก ตายคณะมัวเมาในโลกีย์อย่างเต็มกำลัง ที่ไปก็คือฉิมพลีนรก

    เดี๋ยวนี้ก็ยังเสวยทุกข์อยู่ ใครที่ได้ทิพย์จักขุญาณ ได้มโน พิสูจน์เอาเองนะ

    อนุโมทนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 กันยายน 2010
  16. โทรจิต

    โทรจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +1,377
    ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูล

    แต่ทว่าเอลวิส สมัยนั้นเค้ายังถือได้ว่าเป็นนักร้องคนหนึ่งที่ประพฤติตัวดี

    แต่ผมมองดูนักร้องสมัยนี้ ส่วนใหญ่จะเน้นไปทางโลกีย์ซะหมด

    โดยเฉพาะนักร้องหญิง ดูเหมือนใครก็จะเป็นเป็นเซ็กซิมเบิ้ลไปหมดแล้ว

    ผมก็เป็นปุถุชนคนหนึ่งที่ยังเสพดนตรี และเคยคิดจะทำงานด้านนี้

    ไม่เฉพาะนักร้องต่างประเทศนะ นักร้องไทยก็เยอะที่ดูไม่เหมาะสม

    อยากให้พิจารณาดูซึ่งกฎแห่งกรรม ทำบุญทำทานกันเข้าไว้
     
  17. arrin123

    arrin123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,759
    ตอนนี้เราก้เป้นักดนตรี

    แต่ตอนที่เริ่มเข้าไปเขาบอกว่าถ้าจะทำงานด้วยถ้าคิดจะออกจริงๆต้องอยู่ให้ครบ 3ปี
    ตอนนั้นเราก้ยังไม่ฝักใฝ่ธรรมะแต่ตอนนี้ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามันทำให้เราคิดว่าจะเล่นทำไมในเมื่อมันก้ไม่มีอะไรเลย
    เราน่ะไม่ได้อยากเล่นเท่าไหร่เพราะมันทำให้จิตเราหลงหรือยึดติด
    คือเวลาเล่นดนตรีมันจะต้องดูต้องฟังเสียงว่าโทนถูกรึเปล่า คือทำให้จิตส่งออกนอก
    แต่เราอยุ่เพราะ "สัจจะ"

    แบบนี้ผิดรึเปล่า
     
  18. ชัยธนันท์

    ชัยธนันท์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    859
    ค่าพลัง:
    +1,488
    ทำไมพระ หรือผู้ที่ทำสมาธิเป็นประจำถึงไม่เสพข่าว หรือ ชมมโหรสพล่ะครับ เพราะว่าถ้าไปชม ไปฟังแล้วจิตท่านคล้อยตามไปด้วย โมหะ โทสะ ตามทีผู้แสดงเล่นแล้วก็มีอารมณ์คล้อยตามก็จะเป็นการลดทอนบุญที่ได้ปฎิบัติมา เช่นโกรธ 1 ครั้งก็จะเป็นบาปแก่ตัวเองไปหักลบบุญที่ได้ทำมาถ้าอารมณ์เสียบ่อยๆบุญที่สะสมมาก็คงถูกลดทอนไปคุ้มไหมครับ ส่วนทุกวันนี้ประเทศไทยอยากให้คนไทยเป็นแบบไหนก็สังเกตุละครตอนกลางคืนแต่ละช่องดูก็ได้ครับว่ารุนแรงแค่ไหนไม่ทราบท่านอื่นมีความเห็นอย่างไรครับ
     
  19. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    767
    ค่าพลัง:
    +2,818
    สาธุในพุทธานุสสติของคุณ kornkamolk ค่ะ ทีี่เห็นทั้งสามพระองค์คือพระองค์เป็นองค์เดียวกันแต่ต่างที่เครื่องทรงมีพระนามว่า สมเด็จองค์ปฐมค่ะ

    องค์ที่ ๑ อยู่ที่ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    องค์ที่ ๒ อยู่ที่ วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี ทรงเครื่องจักรพรรดิ
    องคที่ ๓ เขาทำขึ้นมาเป็นแบบแก้ว เรียกว่าปางนิพพาน
    แต่ไม่แน่ใจว่าเขาสร้างองค์ใหญ่หรือปล่าวเพราะที่เห็นจะเป็นองค์เล็กหน้าตักประมาณ ๕ นิ้วมีให้บูชาที่บ้านสายลมค่ะ
     
  20. pagorn

    pagorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    767
    ค่าพลัง:
    +2,818
    พระราชพรหมยาน{หลวงพ่อฤาษีลิงดำ} วัดท่าซุง

    สมเด็จองค์ปฐม วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


    ประวัติสมเด็จองค์ปฐม

    " ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ 1 เรียกว่า “องค์ปฐม” ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ. 2511 ตอนนั้นอาตมา (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้วและ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยางเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า “คุณ…..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก 5 นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า….ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้ จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน "
    หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่1” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะ ชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง

    ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัย ประมาณ 8 หมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปีหลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปี จึงได้ ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง

    (จาก ประวัติการสร้างสมเด็จองค์ปฐม)
    คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม (1)

    " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมดจะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงว่า การจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสียอย่าเพลิดเพลินเกินไปอย่ามีความสุขเกินไปและมันจะทุกข์ ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้าและมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความถ้าจะไปทางไหน ก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใดความป่วยไม่มีความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่า เราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญ วาสนาบารมี ถ้าหมดบุญ วาสนาบารมี ก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลาย จงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมดที่นั่ง อยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่าน ยังมีบาปติด ตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย "

    (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจ ดูร่างกายเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ใน หนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ ต่างองค์ ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แล้วก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเอง ก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์ สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

    " ภิกขุเว..ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลาย ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดจงอย่าลืมว่า ทุกท่านมีบาป ติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อย ก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น นรก (ท่านชี้มือลงเห็นนรก ไฟสว่างจ้า แดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลายจะต้อง พุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรม คือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคน ก็นานหนักหนา และมาเป็นคนแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่าน ท่านทั้งหลายจงดูนั่นนิพพาน "

    (ท่านยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดานางฟ้ากับ พรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้ว แพรวพราวเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่อยู่ที่นั่น มีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมดเห็นหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดากับนางฟ้าใหม่ว่า)

    " ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียวและการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดานางฟ้าเก่าๆ ก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมี ความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่า พรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงเทวดานางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความว่าจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้ เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่ เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่ เป็นของไม่เที่ยง เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณา ความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลาย ควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่าน มีความศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สอง ที่ท่านจะไปนิพพานได้ หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็น ศีล 5 ก็ตาม ศีล 8 ก็ตาม กรรมบถ ศีล 10 ก็ตาม ศีล 227 ก็ตาม "

    (พอท่านพูดถึงศีล 227 ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวช ที่ไหนองค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

    " ฤาษี เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้ เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง 227 เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตามก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วย ธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี "

    (แล้วท่านก็กลับ หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)

    " ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล 5 ก็ดี ศีล 8 ก็ได้ ศีล 10 ก็ได้ กรรมบถ 10 ก็ได้ ศีล 227 ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็น เทวดาก็ดี เป็นนางฟ้าก็ดี มีสภาพไม่เที่ยงจะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้ายในเมื่อการจุติเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิด เป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์ เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นเป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายในแต่ว่าท่านทั้งหลาย เมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆ ที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ นี่ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมา ทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงิน ก็ ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน "

    (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)

    " จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีการทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย ในการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุดและจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้ากับพรหม ก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดขึ้นไนเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่า เราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์ คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันข้างหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดานางฟ้าพรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว คำว่าเข้าใจ บรรดาท่านพุทธบริษัท หมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดา นางฟ้าและพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไปและมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้นและบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่าขุมไหนบ้างที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่าเกิด ดินแดนไหน ที่มีความสุข ไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์และก็ดูเทวดา นางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่น ทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหม มาแล้วแต่ว่าท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่าดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด... "

    (เมื่อพระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ พระองค์ก็จบ)

    (คัดย่อจาก หนังสือธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 139 เดือนกันยายน 2535เรื่อง ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปนิพพาน)

    --------------------------------------------------------------------------------

    คำสอนของสมเด็จองค์ปฐม (2)

    " เวลาที่พระสงฆ์จะสอนพุทธศาสนิกชนควรสอนง่าย ๆ แบบนี้

    1.จัด สถานที่ เอาพระพุทธรูป หรือ ถ้าวัดมีพระประธานก็ประดับเครื่องบูชาและไฟฟ้าให้สวยงาม เพื่อให้ประชาชนประทับใจจำภาพพระพุทธรูปได้ง่าย เป็นอารมณ์พุทธานุสสติกรรมฐาน

    2. ทำพิธีบวงสรวง อัญเชิญพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ให้หมด เทพเทวดาทั้งหมดมาเป็นประธาน

    3. อธิบายให้พวกชาวพุทธคิดตามความเป็นจริง เป็นวิปัสสนาญาณว่าง่าย ๆ อย่างนี้ ว่า ร่างกายมีความแก่ ความเจ็บ ความหิว ความไม่สบาย ความตายเข้ามาหาตลอดเวลา มีความสกปรกความเหม็นน่ารังเกียจ ตั้งแต่หัวถึงเท้าและร่างกายก็ไม่ใช่ของจิตเรา จิตเรานี้มาอาศัยกายซึ่งเป็นของสมมติเพียงชั่วคราว ดังนั้นจิตก็ไม่ใช่ของร่างกาย จิตเป็นของจริง กายเป็นของปลอม มีดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นส่วนประกอบ มีความคิด ความจำ ระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีเวทนาอารมณ์สุข ๆ ทุกข์เป็นของกาย สูญหายสลายไปพร้อมกับกาย จะเหลือแต่จิตเท่านั้น

    4. ทำจิตให้เกาะพระนิพพานตั้งใจว่า ตายแล้วเราจะไปพระนิพพานประมาณ 3 นาที ใจของพุทธศาสนิกชนจะเกาะติดนิพพานอย่างไม่รู้ตัว

    5. ถ้าจิตระลึกถึงพระนิพพาน ระลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระชินศรีศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่า ร่างกายตายแน่นอนทุกวันอย่างนี้ พอถึงเวลาตายจริง ๆ จิตก็จะไปอยู่ตามที่จิตตั้งใจระลึกถึงด้วยความเคารพทุกวัน ทำแบบนี้ทุกคนก็ไปนิพพานได้ง่าย ๆ ไม่ต้องไปบูชาพระนอก ทำจิตใจให้สะอาดเป็นพระในแบบนี้ดีกว่า เป็นการพึ่งตนเองดีที่สุด ก่อนตายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาให้เห็น พระองค์ทุกคน ถ้าระลึกถึงพระองค์ท่านด้วยใจจริง

    การฝึกกรรมฐานแบบมโนมยิทธิให้ผู้ อื่นนั้น การช่วยสอนคนอื่นเป็นบุญบารมีสูง เป็นธรรมทาน ครูผู้สอนจะต้องรู้วิชาที่จะสอนเขาจริง ๆ ให้ฝึกตัวเองกำหนดจิตไปเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลาให้สติ สมาธิ ปัญญาทรงตัว รวบรวมกำลังใจ ดูพรหมวิหาร 4 ของเราว่ามีเมตตา กรุณา จริงใจหรือไม่ หรืออยากให้เขาสักการะ สอนแล้วเขายังไม่ได้ เสียใจหรือไม่ สอนแล้วศิษย์เก่งกว่าครู เราอิจฉาหรือไม่ได้วางใจเป็นอุเบกขา เป็นอารมณ์สมาธิ เป็นกำลัง ญาณที่จะทำให้เราได้รู้ ได้เห็น ได้รับทราบจากจิตจริงแท้

    ขอให้สังวรกันว่า เรายังเรียนรู้เรื่องนี้น้อยมาก อย่าไปวิจารณ์คนนั้นใช่ ไม่ใช่ จงทำไปตามอาจารย์ท่านสอนเป็นวิธีลัดที่จะพิสูจน์ให้คนได้รู้เห็นสภาพของ ทิพย์ที่เป็นจริง

    จำไว้ประการหนึ่ง ถ้าเหตุที่พึงเกิดกับตัวแล้วยังไม่เชื่อมั่น แคลงใจในมโนมยิทธินี้ เป็นผู้สอนไปแล้วไร้ประโยชน์ เพราะไม่เชื่อในผลปฏิบัติของตน แล้วไฉนเขาจะเชื่อผู้อื่น

    ฝึกมโนมยิทธิ ฝึกถอดจิตฝากไว้กับองค์สมเด็จพระปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เอาจิตเบื้องบนมองดูโลกมนุษย์ สวรรค์ พรหม น่าอยู่หรือไม่ไม่ ดูทุกสิ่งทั้ง 3 โลก สุดท้ายก็สูญสลาย ว่างเปล่าไปตามกาลเวลา ไม่มีอะไรย่ายึดติด เป็นวิธีทำง่าย ๆ แบบนี้ เป็นแบบพุทธจริต ทำจิตเป็นพุทธะ จิตแยกจากกายได้จริง รวมจิตเป็นหนึ่งกับองค์พระผู้มีพระภาคเจ้า เจ้าทำได้ก็เป็นสิ่งวิเศษสุดแล้ว "

    (รวบรวมโดย เกษร สุทธจิต จันทร์ประภาพ)

    --------------------------------------------------------------------------------

    สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม

    " สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก

    1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
    2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทราแท้ (ด้วยความจริงใจ)
    3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
    4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้าและพรหมในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด "

    (หมาย เหตุ : เทศน์ที่ " เทวสภา " วันที่ 8 สิงหาคม 2535 เวลา 8.00 น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟังเมื่อ 11 สิงหาคม 2535 เวลา 21.00 น.)
    -------------------------------------------
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1014.jpg
      1014.jpg
      ขนาดไฟล์:
      26.3 KB
      เปิดดู:
      49

แชร์หน้านี้

Loading...