เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 18 เมษายน 2025 at 21:27.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปเยี่ยมพระนักเรียนบาลี ของสำนักเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลีวัดท่าขนุน ซึ่งไปเก็บตัวเพื่ออบรมก่อนเข้าสอบบาลีสนามหลวงรอบที่สอง ที่วัดพุทธบริษัท หมู่ที่ ๓ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี

    หลังจากที่ฉันเพลร่วมกันแล้ว ก็ได้เดินทางไปยังวัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อปฏิบัติภารกิจสองรายการด้วยกัน

    งานแรกก็คือถวายมุทิตาสักการะหลวงพ่อสิงห์โต (พระครูโสภณคุณาธาร) รองเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี เจ้าอาวาสวัดสาลี (บางปลาม้า) ต้องเรียกท่านว่า "ศิษย์พี่" เพราะว่าท่านเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค เหมือนกัน ท่านได้นิมนต์
    กระผม/อาตมภาพมาในงานทำบุญอายุวัฒนมงคล ๗๑ ปีของท่าน แต่พอดีไปตรงกับงานของท่านเจ้าคุณหลวงตา (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) จึงต้องขอมุทิตาสักการะท่านในวันนี้

    อีกงานหนึ่งก็คือมากราบถวายน้ำสรง และขอพรพระเถระของจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งประกอบไปด้วย หลวงปู่สมบุญ (พระครูสุวรรณธรรมานุยุต) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดลำพันบอง อายุ ๑๐๔ ปี

    หลวงพ่อเจ้าคุณสะอิ้ง - พระธรรมพุทธิมงคล (สะอิ้ง สิรินนฺโท ป.ธ. ๘) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลยก์ วรวิหาร อายุ ๙๑ ปี

    หลวงพ่อเจ้าคุณเชษฐา - พระเทพปริยัติกวี (เชษฐา ฉินฺนาลโย ป.ธ. ๙) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดสุวรรณภูมิ อายุ ๘๗ ปี

    แล้วก็หลวงพ่อเจ้าคุณทับทิม - พระมงคลกิตติวิบูลย์ (ทับทิม กิตฺติเสโน ป.ธ. ๔) ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดวิมลโภคาราม อายุ ๘๔ ปี
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    บรรดาพระเถระที่ประกอบไปด้วยอายุกาลพรรษาของจังหวัดกาญจนบุรีก็มีน้อยลงไปทุกวัน กระผม/อาตมภาพนั้นถือว่า "ถ้าเราอาวุโสมากกว่า แล้วไปถวายน้ำสรงแก่ผู้ที่อาวุโสน้อยกว่า จะเป็นการสร้างบาปสร้างกรรมเสียเปล่า ๆ" ในเมื่อมีพระเถระของจังหวัดสุพรรณบุรีที่อายุกาลพรรษามากกว่าอย่างแน่นอนแบบนี้ จึงได้เดินทางมาร่วมถวายน้ำสรง และขอพรในโอกาสวันปีใหม่ไทยด้วย ในระหว่างเดินทางกลับจังหวัดกาญจนบุรี จึงได้มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เพื่อ "เล่าความหลัง" ของเรากันต่อไป

    สภาพสังคมรอบบ้านตอนที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ในช่วงเล่าความหลังนั้น
    เป็นสังคมที่ผู้คนอยู่ในศีลกินในธรรม โดยเฉพาะรักชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาก ไม่มีใครยอมทำให้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเสียหาย เพราะว่าจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านเขาไป เรียกง่าย ๆ ว่า "อายไปยันลูกบวช"

    มีรุ่นพี่คนหนึ่งเป็นผู้หญิง เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ อายุมากกว่ากระผม/อาตมภาพ ๑ ปี ท้องในระหว่างที่เรียนอยู่ ต้องย้ายหนีจากจังหวัดนครปฐมลงไปที่จังหวัดนครศรีธรรมราชเลย ขนาดนั้นยังตกเป็นขี้ปาก ให้เขายกเป็นตัวอย่างแก่ลูกแก่หลานไปอีกหลายปี..! ดังนั้น..ทุกคนจึงรักชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาก โดยเฉพาะในส่วนของศักดิ์ศรี ต่อให้ลำบากยากจนขนาดไหนก็ตาม ก็รักเกียรติรักศักดิ์ศรีของตนเอง พูดง่าย ๆ ว่าไม่ขอใครกิน เป็น "ชาติเสือจับเนื้อกินเอง" เหล่านี้เป็นต้น

    แล้ว
    กำลังใจของผู้คนก็ค่อนข้างละเอียดลออ อย่างเช่นว่าถ้าไปวัด โยมแม่ก็จะให้หยิบก้อนดินในไร่ของตนเองติดหาบไปด้วยก้อนหนึ่ง เมื่อไปถึงวัดก็โยนเอาไว้ในเขตวัด เป็นการป้องกันว่าเวลาเราเดินเข้าเดินออกแล้ว มีดินของสงฆ์ติดเท้าไป จะเป็นบาปเป็นกรรมเสียเปล่า ๆ เช่นนี้เป็นต้น

    ถึงเวลาเจอพระภิกษุเดินสวนมา ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายก็ต้องหลีกลงข้างทาง เป็นผู้หญิงก็ต้องนั่งกราบลงกับพื้น ซึ่งกระผม/อาตมภาพมาเจอในภายหลังที่อำเภอทองผาภูมินี่เอง บรรดาพี่น้องชาวมอญพม่ายังคงปฏิบัติตนแบบนี้กันอยู่ อย่างวันนี้ที่เดินบิณฑบาต เมื่อถึงเวลาพระเณรข้ามถนน บรรดาพี่น้องมอญพม่า ไม่ว่าจะขับรถเก๋ง รถกระบะ หรือว่ารถมอเตอร์ไซค์ก็ตาม ต่างก็พากันหยุด เพื่อให้แถวพระข้ามไปจนครบก่อนถึงจะวิ่งต่อไป ไม่เหมือนกับทางกรุงเทพฯ พระเดินผ่านไปรูปหนึ่งหรือว่าเณรเดินผ่านไปรูปหนึ่ง มอเตอร์ไซค์ก็แหวกผ่านไปคันหนึ่ง..! เหล่านี้เป็นต้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    อีกส่วนหนึ่งก็คือมีการแต่งกายที่เรียบร้อยมากเวลาไปวัด ถ้าไม่ใช่บรรดาผู้ที่อายุมากแล้ว ไปอยู่วัดเพื่อถือศีล ๘ หรือว่าศีลอุโบสถ ซึ่งมักจะต้องนุ่งขาวห่มขาวไป ถ้าเป็นผู้ชายก็จะมีผ้าขาวม้าพาดบ่าไปด้วย ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะมีผ้าสะไบพาดบ่าไปด้วย แต่ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงทั่ว ๆ ไป เวลาไปวัด ก็จะนุ่งผ้าถุง ซึ่งเรียกกันง่าย ๆ ว่า "ผ้าซิ่น" แล้วก็ใส่เสื้อแขนยาวแบบแขนกระบอก กลัดกระดุมมิดชิด

    ไม่ไปโชว์ว่าแม่ให้ตนเองมาเท่าไรอย่างกับสมัยนี้..! การแต่งเนื้อแต่งตัวต้องเรียบร้อยเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้ว
    เขาดูกระทั่งกริยามารยาท และข้าวปลาอาหารที่นำไปถวายพระ เพื่อเป็นการประเมินว่าลูกสาวบ้านนี้ทำกับข้าวกับปลาเก่งหรือไม่ ? เหล่านี้เป็นต้น

    โดยเฉพาะ
    มีค่านิยมในการใช้ขันเงินขันทอง เพื่อที่จะใส่ข้าวไปถวายพระ ถ้าหากว่าผู้ที่มีฐานะร่ำรวยเป็นเศรษฐี อย่างเช่นว่าลูกสาวของอาประเสริฐ โตทับ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเรียกเป็นพี่ ก็จะมีขันทองใส่ข้าวไปถวายพระ ที่บ้านเองถึงแม้ว่าฐานะไม่ดีมาก แต่ว่าพี่สาวก็ช่วยกันทำงานเก็บเงิน จนกระทั่งสามารถที่จะหาขันข้าว พานรอง ตลอดจนทัพพีทำด้วยเงินแท้ได้

    เนื่องเพราะเชื่อกันตามที่ในนิทานซึ่งเล่ากันว่า พระอาทิตย์นั้นได้ใช้ขันทองคำในการใส่ข้าวถวายพระ จึงไปเกิดเป็นสุริยเทพบุตร มีวิมานทองคำสว่างไสวไป ๘,๐๐๐ โยชน์ พระจันทร์นั้นใช้ขันเงินใส่ข้าวไปถวายพระ จึงมีวิมานเงินสว่างไสวไป ๘,๐๐๐ โยชน์ ส่วนราหูซึ่งเป็นน้องเล็กสุด หาอะไรไม่ได้ ก็เอาข้าวใส่กระบุงไปถวายพระ ทำให้เกิดมารูปชั่วตัวดำ คนสมัยนั้นจึงมีค่านิยมในการที่จะใช้ขันเงินขันทองในการใส่ข้าวไปถวายพระ

    ถ้าหากว่าหาไม่ได้จริง ๆ อย่างน้อยก็ต้องเป็นขันทองเหลืองอย่างหนา ที่เรียกกันว่า "ขันลงหิน" ก็คือตีขึ้นรูปแล้วใช้หินลับมีดขัดเสียจนกระทั่งเรียบลื่น เพื่อที่จะนำไปใส่ข้าวหรือว่าใส่บาตรพระที่หน้าบ้านทุกวัน ค่านิยมเหล่านี้นั้นไม่ได้มีอยู่ทั่วไปในปัจจุบันนี้ แต่ว่าสมัยนั้นถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติกันเลยทีเดียว

    เมื่อโยมพ่อเจ็บไข้ได้ป่วย โยมแม่ซึ่งต้องเลี้ยงลูกตั้งหลายคน บรรดาพี่สาวก็เริ่มแต่งงานออกไป พี่ชายก็แต่งสะใภ้เข้ามา จึงทำให้ฐานะทางบ้าน "ชักหน้าไม่ถึงหลัง" ต้องไปเที่ยวหยิบยืมญาติพี่น้องของตนเอง จนกระทั่งกลายเป็นหนี้เป็นสินจำนวนมาก แล้วก็ตกเป็นขี้ปากของญาติพี่น้องเขาทั่วไป ภายหลังไม่ว่าจะหันหน้าไปทางไหนก็มีแต่คนเบือนหน้าหนี แต่ว่าอาประเสริฐซึ่งเป็นผู้ที่นับถือกัน ในลักษณะของพี่น้องกับโยมพ่อเท่านั้น ท่านเป็นเจ้าของโรงสี กลับเป็นคนที่ช่วยเหลือครอบครัวของกระผม/อาตมภาพเอาไว้มากที่สุด
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    จนกระทั่งหลังจากที่โยมพ่อได้เสียชีวิตลง เมื่อทำศพโยมพ่อแล้ว บรรดาพี่น้องทุกคนก็โหมทำงานกันเป็นบ้าเป็นหลัง จนสามารถที่จะใช้หนี้ได้หมดสิ้นภายใน ๓ ปี แล้วก็ "ลืมตาอ้าปาก" กันขึ้นมาได้อีกครั้งหนึ่ง บรรดาพี่น้องที่ห่างเหินไปจึงค่อยกลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง เพราะมั่นใจว่าคราวนี้ไม่มีการยืมเงินกันอีกแล้ว..!

    กระผม/อาตมภาพเองค่อนข้างที่จะคิดมาก แม้ว่าจะเป็นเด็กอยู่ยังรู้สึกว่า "ทำไมญาติผู้ใหญ่ที่สามารถช่วยได้กลับไม่ช่วย ผู้ที่ช่วยกลับกลายเป็นคนอื่น ซึ่งไม่ใช่ญาติพี่น้องกันเอง ?" เพียงแต่เคารพนับถือกันในลักษณะเป็นเพื่อนฝูงเท่านั้น กลับช่วยโยมพ่อมามากที่สุด

    ในช่วงที่โยมพ่อเสียชีวิตลงนั้น กระผม/อาตมภาพเองจำได้แม่นยำที่สุด เนื่องจากว่าวันที่ ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ พระธาตุพนมพังถล่มลงมา..! ในช่วงเย็นวันนั้น โยมพ่อที่ป่วยอยู่ในลักษณะติดเตียง อยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นมา ดูท่าแข็งแรง สามารถที่จะเดินไปห้องอาบน้ำได้ด้วยตนเอง เมื่อกระผม/อาตมภาพอาบน้ำเปลี่ยนผ้าให้โยมพ่อแล้ว ท่านก็ยังสามารถที่จะตักข้าวกินเองได้ ไม่ต้องให้ป้อน พี่สะใภ้ดีใจมาก บอกว่า "ดูท่าเตี่ยจะหายดีแล้ว"

    แต่ว่าโยมแม่ซึ่งเป็นผู้มีประสบการณ์มามาก บอกว่า "ให้รีบโทรเลขบอกญาติพี่น้องทั้งหมดโดยด่วน บอกว่าให้มาภายในวันนี้เลย เพราะว่าลักษณะแบบนี้ เขาเรียกว่าเปลวเทียนวูบสุดท้าย ซึ่งมักจะทำให้ผู้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ได้สติคืนมา สามารถสั่งเสียสิ่งต่าง ๆ ได้แล้วถึงจะได้เสียชีวิตลง" ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น

    หลังจากที่กินข้าวกินปลา และกินยาเรียบร้อยแล้ว โยมพ่อก็หลับลึกไปเลย ไม่มีการเรียกให้นวดอีกเหมือนอย่างทุกวัน ไม่ว่าใครจะไปจะมา ถึงเวลาไปสะกิดหรือว่าเรียก ก็จะส่งเสียง "อือ..อือ" รับเท่านั้นเอง จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ก็คือวันที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘ ประมาณช่วงบ่ายโมง ท่านก็หมดลมหายใจไปเฉย ๆ
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มากว่า ในครอบครัวของกระผม/อาตมภาพนั้น นอกจากคุณย่า ซึ่งก่อนเสียชีวิตมีการอาละวาดฟาดหัวฟาดหาง เนื่องเพราะว่าเห็นบุคคลมารับอยู่ในลักษณะที่ว่า "ให้ไปด้วยกันได้แล้ว" แต่ว่าย่าไม่ยอม ก็เลยใช้ไม้เท้าตีให้มั่วไปหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานเข้าใกล้ ก็คิดว่าคนจะมาเอาชีวิต ฟาดจนกระทั่งหัวปูดหัวโนไปตาม ๆ กัน..! แต่ท้ายที่สุด ย่าก็เสียชีวิตอยู่ดี

    ส่วนคุณตานั้น เรียกพวกกระผม/อาตมภาพ ซึ่งยังเป็นเด็กอยู่ ตอนนั้นกระผม/อาตมภาพเพิ่งอายุประมาณ ๒ ขวบครึ่งถึง ๓ ขวบเท่านั้น ไปล้อมรอบเก้าอี้ที่ท่านนั่งอยู่ แล้วก็สั่งความว่า "ตาอายุมากแล้ว เป็นคนแก่ก็คล้ายกับผลไม้สุก ถึงเวลาจะร่วงจากขั้วเมื่อไรก็ไม่รู้ ? ถ้าหากว่าตาตาย พวกแกไม่ต้องร้องไห้เสียใจนะ..!" แล้วก็ขอข้าวกิน ๑ ชาม หลังจากนั้นก็นอนหลับไปเฉย ๆ หมดลมหายใจไปตอนไหนก็ไม่มีใครรู้ ?! เห็นว่ามืดค่ำแล้วไปเรียก เพราะกลัวว่าจะโดนยุงกัด ปรากฏว่านอนแข็งไปแล้ว..!

    แล้วคุณยายก็อยู่ในลักษณะอย่างนี้ มาเสียชีวิตหลังจากที่กระผม/อาตมภาพบวชได้ ๔ พรรษาแล้ว คุณยายเองเห็นกระผม/อาตมภาพมาหาตั้งแต่ตอนช่วงเช้า จึงทำให้ทางบ้านรีบโทรไปที่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพจึงกราบลาหลวงพ่อฤๅษีฯ ขออนุญาตมาเยี่ยมคุณยาย

    ปรากฏว่าพอมาถึง เจอน้าคนโตคอยเรียกอยู่ตลอดเวลา จึงได้บอกว่า
    "ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปห้ามทุกคนเรียกเด็ดขาด" เพราะว่าจิตของยายนั้นเป็นสมาธิ ทรงตัวเป็นแก้วทั้งดวง อยู่ในลักษณะที่ว่าเข้าสมาธิลึก แล้วก็โดนน้าไปเขย่าจนหลุดออกมาอยู่เรื่อย

    กระผม/อาตมภาพกระซิบบอกยายว่า "ให้ตั้งใจฟังพระสวดมนต์นะ ถ้าหากว่าเห็นภาพพระก็ไปไหว้พระเลย ไม่ต้องห่วงใคร เพราะว่ายายต้องไปตามกำหนดที่เขาบอกไว้แล้ว" คือคุณยายเห็นมีราชรถมารับตั้งแต่ก่อนหน้านั้น ๓ ปี ท่านใช้คำว่า "มีคนแต่งตัวเหมือนลิเก เอาเกวียนสวย ๆ มารับ แต่ยายเป็นห่วงพวกแก เลยบอกว่ารอให้หลานโตก่อน แล้วเขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นอีก ๓ ปีถึงจะมารับ" แล้วก็ตรงกับเวลาที่ยายเล่าให้ฟังพอดี
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,426
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,716
    ค่าพลัง:
    +26,573
    กระผม/อาตมภาพจึงย้ำให้ยายภาวนาเป็นประจำ ๆ เพราะว่าถึงเวลาเขาจะมารับจริง ๆ ยายก็ยังปรารภว่า "มีแต่พระนี่แหละที่เชื่อ พอบอกคนอื่นเขาหาว่าฉันเพ้อทั้งนั้น..!" แล้วถึงเวลายายก็หลับลึก จิตนิ่งใสทั้งดวง จนกระทั่งวันรุ่งขึ้นก็เสียชีวิตไปเฉย ๆ เหมือนกัน..!

    แล้วมาปี ๒๕๕๑ โยมแม่ก็อยู่ในอาการเดียวกัน เมื่อสวดมนต์แล้วบอกให้ท่านเกาะพระ ที่กระผม/อาตมภาพเป็นเจ้าภาพสร้างที่วัดหนองหญ้าปล้อง เป็นพระสมเด็จองค์ปฐมหน้าตักตั้ง ๔๐ ศอก ขอให้นึกถึงบุญตรงนี้เอาไว้ แล้วโยมแม่รับปาก "อือ..อือ" เสร็จเรียบร้อยก็หลับยาวไปจนกระทั่งเสียชีวิตเช่นกัน

    กระผม/อาตมภาพยังคิดว่า แม้พวกเราจะสร้างบาปสร้างกรรมเอาไว้ เพราะว่าจะต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน เลี้ยงครอบครัวก็จริง แต่ว่าถึงเวลาก็ตายดีตายสบายกันทุกคน ยกเว้นคุณย่าที่ไม่ยอมไป อาละวาดตบตีอยู่กับเทวทูตที่มารับอยู่หลายวัน กว่าที่เขาจะหาช่องเอาไปได้..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คิดว่าถ้าตัวเองถึงเวลาตายก็น่าจะไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนัก..!

    สำหรับวันนี้ก็เล่าเลยในช่วงที่ตนเองต้องการจะกล่าวถึงไปเสียนาน พรุ่งนี้คงต้องย้อนกลับมาใหม่ในช่วงที่ยังเรียนชั้นมัธยมอยู่

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...